ท่ามกลางนวัตกรรมที่ช่วยเสริมความงามมากมาย หนึ่งในตัวเลือกสำหรับคนอยากหน้าเด็กก็คงเป็น “การทำ Hifu” แต่การทำไฮฟู่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงข้อดี ข้อเสียของมันก็มี ทั้งการทำยังไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดังนั้นในวันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันถึงข้อดี-ข้อเสียของการทำ และการทำไฮฟู่เหมาะกับใครบ้างนะ
เคยไหมกับการส่องกระจกแล้วพบว่าเมื่อก่อนใบหน้าของฉันเคยดูดีกว่านี้นี่ แล้วริ้วรอยตรงร่องแก้มนี่มันผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตาย ๆ ๆ ไม่มีอีกแล้วใบหน้าที่เคยสวยใสในวันนั้น ซึ่งเราอยากจะบอกทุกคนว่าอย่าเพิ่งใจเสียไปค่ะ มันเป็นธรรมดาที่เมื่ออายุมากขึ้น สภาพผิวก็จะไม่ได้สวยเป๊ะเหมือนตอนยังหนุ่มยังสาว มันก็แค่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา มากน้อยขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคน แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าปัญหาผิวแก่ตามวัยหรือเกินวัยเหล่านี้จะไม่มีทางแก้เลย ด้วยนวัตกรรมด้านความงามในปัจจุบัน อะไรที่เคยเป็นไปไม่ได้เราก็สามารถทำให้มันเป็นไปได้ รวมถึงการเสกความอ่อนวัยให้กับตัวเอง ถ้าใครเคยศึกษานวัตกรรมที่ช่วยในเรื่องนี้ก็คงต้องเคยเห็นชื่อ “การทำ Hifu” ผ่านตามาบ้าง ซึ่งไฮฟู่ก็คือ หนึ่งในวิธีที่จะช่วยเสกผิวย้วยของเราให้กระชับทันใจ ริ้วรอยผุดเพิ่มตรงไหนก็เอาอยู่ และหากจะถามว่าข้อดี-ข้อเสียของการทำไฮฟู่มีอะไรบ้าง และการทำไฮฟู่เหมาะกับใคร มีข้อยกเว้นอะไรไหม เรามีคำตอบมาให้ค่ะ
นวัตกรรมเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยไฮฟู่
การทำไฮฟู่เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิว โดยใช้เครื่องยิงคลื่นอัลตร้าซาวด์ลงไปยังชั้นใต้ผิวเพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ข้อดีของการทำมีดังนี้
- ไม่มีบาดแผลจากการทำ
- มีความปลอดภัยต่อผิว ไม่ทำร้ายผิวหนังชั้นนอกแน่นอน
- ไม่มีอาการบวมช้ำอย่างชัดเจน มากสุดจะเป็นอาการบวมเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
- ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- เจ็บน้อยมากหากเทียบกับการผ่าตัด การทำไฮฟู่จึงเหมาะกับคนกลัวการผ่าตัดและกลัวเข็ม
- ไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา จึงสามารถแก้ปัญหาบริเวณรอบดวงตาได้อย่างหายห่วง
- สามารถทำได้บ่อยครั้ง และสามารถทำร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ ได้
แต่นอกจากข้อดีแล้ว ไฮฟู่ก็ยังมีข้อเสียหรือที่เรียกว่าผลข้างเคียง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเป็นข้อเสียที่รับได้ไหม จะคุ้มหรือเปล่าหากเราตัดสินใจทำ ซึ่งข้อเสียของการทำ ได้แก่
- อาจมีอาการเมื่อยหรือปวดตึงที่ผิวบริเวณที่ทำในช่วงแรก ๆ อาการนี้สามารถหายได้เอง และหากมีอาการปวดร่วมด้วยก็สามารถทานยาแก้ปวดทั่ว ๆ ไปเพื่อบรรเทาอาการได้
- อาจมีรอยแดงหลังทำ แต่สามารถหายได้เองภายใน 1-2 ชั่วโมง
- บางคนอาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นการบวมในแบบที่คนนอกดูไม่ออกชัดเจน
นอกจากนี้ การทำไฮฟู่มักมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องผิว การทำไฮฟู่จึงเหมาะกับ
- คนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเริ่มเสื่อมสลาย ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลง
- คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับทั้งบริเวณใบหน้าและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างช่วงคอ เนินอก ต้นแขน ต้นขา และช่วงเอว
- คนที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นร่องใต้ตาหรือร่องแก้ม ไฮฟู่ก็สามารถเอาอยู่ นอกจากนี้ ไฮฟู่ยังสามารถแก้ปัญหาหนังตาตก กรอบหน้าไม่ชัดได้อีกด้วย แต่ไฮฟู่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ หรือมีริ้วรอยเป็นร่องลึกอย่างชัดเจนนะคะ เพราะอาจจะเห็นผลได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- คนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด และไม่มีเวลาพักฟื้น เพราะหลังทำสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเลย
- คนที่ไม่ชอบความยุ่งยากในการรักษา เพราะขั้นตอนการทำไม่ซับซ้อน ใช้เวลาเพียง 30-60 นาที ในการทำต่อครั้งเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ก็ยังมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งที่คุณหมอจะวินิจฉัยว่าควรเลี่ยงการทำไฮฟู่ไปก่อน ได้แก่
- คนที่มีบาดแผลบริเวณผิว โดยเฉพาะแผลเปิด
- คนที่มีสิวอักเสบเรื้อรังหลายจุดบนใบหน้า (สำหรับคนที่ต้องการทำไฮฟู่บริเวณใบหน้า)
- คนที่ฝังรากฟันเทียม
- คนที่มีอุปกรณ์โลหะ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่จะทำ
หลังจากได้ทำความเข้าใจกับข้อดี-ข้อเสียของการทำไฮฟู่ รวมถึงตอบคำถามที่ว่าการทำไฮฟู่เหมาะกับใครบ้างไปแล้ว หลาย ๆ คนคงสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้การทำไฮฟู่จะไม่เป็นอันตรายเลย หากเราอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ เพราะเมื่อไหร่ที่เราแจ็คพอตไปเจอคลินิกที่ดีแค่ราคา จากข้อเสียแค่ไม่กี่ข้อก็อาจเพิ่มขึ้นรัว ๆ จนเราเตรียมใจตั้งรับไม่ทันได้นะคะ เพราะฉะนั้นตัดสินใจให้ดีและเลือกให้เป็นค่ะ