ปัญหาผิวเมื่ออายุมากขึ้น รู้ไว้ก่อนจะสายเกินแก้

เมื่อเราอายุมากขึ้น สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ ปัญหาผิวต่าง ๆ ที่เริ่มเรียกร้องให้เราหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น ดังนั้นสิ่งแรกที่เราควรเริ่มทำก็คือ การสังเกตตัวเองให้ดีค่ะ จะได้รีบหาทางแก้ไขก่อนจะสายเกินแก้ ในวันนี้เราจึงได้รวบรวมปัญหาผิวยอดฮิตมาฝาก เผื่อทุกคนจะได้มีแนวทางเพื่อใช้สังเกตตัวเองได้ง่ายขึ้น ปัญหาผิวเมื่ออายุมากขึ้น รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้จะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลยค่ะ!

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาผิวที่เป็นสัญญาณแห่งวัยก็จะเริ่มรุมเร้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ หากใบหน้าใครเริ่มมีอาการเหล่านี้ แนะนำว่าต้องรีบเช็กและรีบหาทางแก้ด่วน ๆ เลยค่ะ

• ผิวหน้าหย่อนคล้อย เมื่อตอนเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ใบหน้าของเราก็ยังกระชับเต่งตึงดูสุขภาพดีอยู่ใช่ไหมล่ะคะ แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะสังเกตได้ว่าผิวที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาตามกลไกของร่างกายค่ะ เกิดจากคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวถูกผลิตได้น้อยลง ทำให้โครงสร้างของผิวไม่แข็งแรงเหมือนเก่า ขาดความยืดหยุ่น ผิวจึงค่อย ๆ หย่อนคล้อย ทำให้ผิวหน้าดูเหี่ยว หย่อนยาน กรอบหน้าหาย ผิวย้วย และถ้าปล่อยไว้โดยไม่ดูแลก็จะทำให้ใบหน้าของเราดูแก่เกินกว่าวัยค่ะ
• ริ้วรอยร่องลึก ปัญหาผิวยอดฮิตเมื่ออายุมากขึ้นก็คงหนีไม่พ้นริ้วรอยร่องลึกที่ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งจัดหนักจัดเต็ม สาเหตุก็มาจากการที่ผิวหนังของเราผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลงเช่นกัน รวมถึงชั้นไขมันใต้ผิวที่เริ่มฝ่อตัวลงและกระดูกที่เริ่มกร่อนตัว มีผลให้ผิวชั้นนอกเกิดเป็นริ้วรอยร่องลึกขึ้น นอกจากนี้ ผู้หญิงในช่วงอายุ 40-49 ปี (หรือที่เราเรียกกันว่าวัยทอง) ร่างกายจะเริ่มขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน มีผลให้ผิวแห้ง ทำให้เกราะป้องกันผิวไม่แข็งแรง แพ้ง่าย ระคายเคืองง่าย ริ้วรอยร่องลึกจึงเกิดขึ้นได้ง่ายตามไปด้วย
• เกิดฝ้ากระบนใบหน้า ปัญหานี้จะเริ่มเห็นตอนช่วงอายุ 30-40 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดน้อยลง หลายคนจึงเริ่มมีปัญหาผิวบาง ขาดความชุ่มชื้น แพ้ง่าย โดยเฉพาะคนที่ต้องออกแดดบ่อย ๆ หรือดูแลผิวไม่ดีพอ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผิวหน้าเกิดฝ้ากระได้เยอะมาก และยิ่งใครที่มีปัญหาผิวหน้าผลัดเซลล์ผิวได้ช้าลง เซลล์ผิวที่ตายแล้วก็จะเริ่มเกาะตัวแน่นหนาจนเห็นเป็นฝ้ากระชัดขึ้นกว่าเดิมค่ะ
• รูปหน้าเปลี่ยน เคยได้ยินเรื่องสามเหลี่ยมแห่งความเยาว์วัยไหมคะ นั่นคือเมื่อเรายังเยาว์วัยอยู่ รูปหน้าของเราจะเป็นรูปสามเหลี่ยมหัวคว่ำ (จุดแหลมของสามเหลี่ยมอยู่ด้านล่าง) แต่ถ้าเราอายุมากขึ้น รูปหน้าก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสามเหลี่ยมตั้ง (จุดแหลมของสามเหลี่ยมอยู่ด้านบน) ซึ่งหลักการนี้ก็มาจากปัญหาที่ว่าเมื่ออายุมากขึ้นผิวของเราก็จะหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกนั่นเองค่ะ พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งแก่ผิวก็ยิ่งขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถต้านแรงโน้มถ่วงได้ เกิดเป็นปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีแก้มห้อย กรามขยายใหญ่ขึ้นจากการหดตัวของขากรรไกร รูปหน้าของเราจึงเปลี่ยนไปเมื่ออายุมากขึ้นค่ะ

หากต้องการป้องกันและแก้ไขปัญหาผิวจากอายุที่มากขึ้น เริ่มแรกคือ ควรสังเกตตัวเองก่อนค่ะว่ามีปัญหาอะไรบ้าง จากนั้นลิสต์ปัญหาเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วเลือกวิธีแก้ไขตามนี้กันค่ะ

• โบกครีมเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว วิธีพื้นฐานที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เป็นหนึ่งในการชะลอไม่ให้ผิวสภาพย่ำแย่ไปมากกว่าเดิมค่ะ โดยเคล็ดลับก็คือ ควรเลือกใช้ครีมให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าและปัญหาผิวของตัวเอง เลือกใช้ครีมให้ถูกสูตร และต้องอย่าลืมเลือกครีมที่มี อย. รับรองถูกต้อง จะได้ไม่เสี่ยงหน้าพังไปมากกว่าเดิมนะคะ โดยส่วนมากครีมจะใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รวมถึงฝ้ากระที่ไม่ลึกมาก และควรทาต่อเนื่องเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาพอประมาณจึงจะเริ่มเห็นผลค่ะ
• มาส์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื้น แผ่นชีตมาส์กคือ ตัวช่วยฟื้นบำรุงผิวอย่างเร่งด่วนเลยค่ะ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งมาก ใครอยากชะลอริ้วรอยให้เกิดขึ้นช้าลง แนะนำให้มาส์กหน้าก่อนนอนเป็นประจำ โดยเลือกสูตรมาส์กให้เข้ากับสภาพปัญหาผิวของเรา และไม่ควรทิ้งแผ่นมาส์กไว้บนหน้านานเกินไป เพราะจะทำให้ผิวยิ่งแห้งกว่าเดิมค่ะ
• หลีกเลี่ยงผิวจากแสงแดด แสงแดดคือตัวการสำคัญที่จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมันสามารถทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวได้ โดยวิธีป้องกันแสงแดดพื้นฐานคือ การหมั่นทาครีมกันแดดเสมอแม้จะอยู่ในบ้านและหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดโดยตรง วิธีนี้จะช่วยป้องกันให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ช้าลง รวมถึงช่วยไม่ให้ผิวหมองคล้ำจากแสงแดดด้วยค่ะ
• ออกกำลังกายใบหน้า ใบหน้าของเราก็สามารถออกกำลังได้เช่นกันค่ะ โดยวิธีง่าย ๆ คือ ให้ขยับปากเป็นคำว่า A, E, I, O, U การขยับปากรูปแบบนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเราได้ออกกำลังกาย ผิวหน้าจึงยกกระชับขึ้นได้ แม้จะไม่ได้เห็นผลแบบชัดเจนนัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยชะลอให้ผิวหน้าหย่อนยานได้ช้าลงค่ะ โดยแนะนำให้ทำเป็นประจำทุกวัน อาจจะตอนก่อนนอนหรือหลังตื่นนอน ขยับพอให้รู้สึกเมื่อย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการวิธีง่าย ๆ ทำได้เองที่บ้านแบบชิล ๆ
• นวดยกกระชับใบหน้า อีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน โดยเริ่มจากการนวดเป็นวงกลมตั้งแต่ปลายคางจนถึงขมับ ทำวนซ้ำเรื่อย ๆ ประมาณ 10-15 นาทีต่อวัน การนวดลักษณะนี้จะช่วยลดอาการบวมน้ำและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน ผิวหน้าของเราก็จะเปล่งปลั่งขึ้นจากการที่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเพียงพอ รวมถึงผิวจะมีความยกกระชับขึ้น โดยแนะนำให้ทำทุกเช้าตอนตื่นนอน นวดแบบไม่ต้องกดแรงมาก ผิวจะได้ไม่เกิดการเสียดสีจนกลายเป็นเกิดริ้วรอยมากขึ้นแทนค่ะ
• ดื่มน้ำเยอะ ๆ และทานอาหารที่มีประโยชน์ เมื่ออายุมากขึ้น การดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ ผิวของเราจะได้เปล่งปลั่งและสุขภาพดีแบบยั่งยืน โดยเริ่มจากการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว รวมถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการทานน้ำตาลและไขมัน รวมถึงงดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผิวของเราก็จะเสื่อมสภาพได้ช้าลงค่ะ
• ไหมมิ้นท์ยกกระชับหน้า สำหรับใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางไปจนถึงหนักมาก จนถึงขั้นทำให้รูปหน้าเปลี่ยน กรอบหน้าไม่ชัด วิธีร้อยไหมมิ้นท์ก็นับเป็นทางเลือกที่จะคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าอย่างได้ผลดีเลยค่ะ
  หัตถการนี้เป็นการร้อยไหม PDO ที่มีคุณสมบัติละลายได้เข้าไปในผิวหน้า มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากผ่านการรับรองจาก อย. ถูกต้องทั้งจากประเทศเกาหลี จีน อเมริกา ยุโรป และไทย ลักษณะเด่นของไหมชนิดนี้คือ จะมีเงี่ยง 360 องศาแบบสามมิติอยู่รอบตัวไหม จึงทำให้เส้นไหมมีความแข็งแรง สามารถดึงรั้งผิวและยึดเซลล์ผิวให้กระชับได้ ทำให้สามารถยกกระชับใบหน้าแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างได้ผลดี หลังทำผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือนขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล ทั้งยังสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังร้อยเสร็จ จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวแบบเร่งด่วนด้วยวิธีที่ปลอดภัยค่ะ

โดยสรุปแล้ว ใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ จนทำให้รูปหน้าเปลี่ยน ดูแก่กว่าวัย การร้อยไหมมิ้นท์ก็เป็นหัตถการที่จะช่วยยกกระชับผิวให้กลับมาเต่งตึง วีเชฟ ดูอ่อนเยาว์อีกครั้งได้อย่างเห็นผลชัดเจน แต่ข้อควรคำนึงคือ จำเป็นต้องรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ เพราะมันจำเป็นต้องใช้ความชำนาญเฉพาะอย่างในการเลือกใช้เส้นไหมที่เหมาะสมและใช้เทคนิคการร้อยที่ถูกต้อง เพื่อที่ผลลัพธ์จะได้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ