โครงสร้างของผิวและวิธีการดูแลอย่างล้ำลึกให้ผิวสุขภาพดีมีอะไรบ้าง

ผิวพรรณไม่ใช่มีเพียงแค่ผิวชั้นนอกที่เรามองเห็นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการลงลึกเข้าไปใต้ชั้นผิวอีกด้วย หากดูแลได้อย่างล้ำลึกในแต่ละชั้นผิวก็จะส่งผลออกมาภายนอกได้ ช่วยเสริมความมั่นใจ ปรับผิวให้ดูกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ ผิวไม่โทรม หน้าดูเด็กลง ทั้งยังทำให้ผิวมีความเต่งตึง กระชับขึ้น ฉะนั้นการทำความรู้จักโครงสร้างผิวของเราเพื่อจะได้หาวิธีการดูแลผิวในองค์รวมให้ครบถ้วน จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาโดดเด่นมากขึ้นแน่นอนค่ะ

ชั้นผิวหนังเราไม่ได้มีเพียงแค่ชั้นเดียว ในแต่ละชั้นยังแบ่งแยกย่อยไปอีก เพื่อทำหน้าที่ทั้งปกป้อง พยุงเนื้อเยื่อ กักเก็บสารอาหาร ส่งแร่ธาตุไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังเป็นศูนย์รวมของต่อมที่คอยทำหน้าที่ในระบบผิวหนังของเราแตกต่างกัน เช่น ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น โดยมีการแบ่งชั้นผิวหลัก ๆ ได้ 3 ชั้น ดังนี้ค่ะ

• ชั้นหนังกำพร้า คือชั้นผิวที่อยู่นอกสุด เป็นส่วนที่ถือว่ามีความสำคัญในการช่วยปกป้องร่างกายจากทั้งแบคทีเรีย สิ่งสกปรก สารพิษ เพื่อไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงป้องกันการสูญเสียน้ำ ทั้งยังมีส่วนที่เรียกว่า ไลปิด เป็นส่วนที่ช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม มีความชุ่มชื้น ถ้าหากขาดส่วนนี้ไปผิวจะแห้งกร้าน
• ชั้นหนังแท้ เป็นชั้นผิวที่มีความหนา และยืดหยุ่น มีลักษณะเป็นคลื่น โดยหลัก ๆ มีส่วนประกอบเป็น คอลลาเจน อีลาสติน เนื้อเยื่อที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่น โดยเส้นใยใต้ชั้นผิวเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงด้วย ไฮยาลูรอนิก แอซิด อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยพยุงเนื้อเยื่อและช่วยกักเก็บน้ำไว้ให้คงอยู่ ผิวจึงมีความเต่งตึง กระชับ สุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ ช่วยรองรับแรงกระแทก ขับของเสีย และเก็บสารอาหารต่าง ๆ นอกจากนั้นยังเป็นชั้นของ ต่อมน้ำเหลือง เส้นประสาท และที่อยู่ของรากขนอีกด้วย
• ชั้นไขมัน เป็นแหล่งรวมของโปรตีน คอลลาเจน เซลล์ไขมัน และหลอดเลือดจำนวนมาก ที่คอยทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังช่วยกักเก็บพลังงาน รวมถึงช่วยรับแรงกระแทกไม่ให้เข้าสู่อวัยวะภายใน ซึ่งในแต่ละส่วนของร่างกายก็จะมีจำนวนของไขมันที่ไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันไปตามร่างกายของแต่ละคนอีกด้วย

เอาละคะสาว ๆ เรามาเริ่มปฏิบัติการดูแลผิวกันดีกว่า เพื่อคงความอ่อนเยาว์ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เอาไว้นาน ๆ กันดีกว่า ไปเช็กลิสต์ตามกันเลยว่ามีวิธีการอะไรที่ช่วยปกป้อง ฟื้นฟู และดูแลผิวของเราได้บ้าง

• ปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำ
  
  ทาครีมกันแดด ใส่เสื้อผ้า หรือใช้ร่ม ในการช่วยปกป้องผิวจากแสง UV ช่วยทำให้ผิวหลีกเลี่ยงจากอาการผิดปกติของเม็ดสีเมลานินที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวโทรม หมองคล้ำ
• ป้องกันการสูญเสียน้ำในผิว
  
  ตามธรรมชาติของผิวเราจะมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว เมื่อน้ำในผิวของเราเกิดการระเหยออกไป ผิวก็จะเกิดการขาดน้ำ แห้งกร้าน ผิวลอกเป็นขุย ผิวขาดความยืดหยุ่น โดยสามารถเกิดขึ้นได้จากความร้อน ความเย็น และสภาพอากาศแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำจะช่วยกักเก็บน้ำในผิวไม่ให้สูญเสียไปได้ค่ะ
• ทำความสะอาดผิวเป็นประจำ
  
  เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยไม่ให้เกิดการสะสมสิ่งสกปรกจนเกิดการอุดตันในชั้นผิว ต้นเหตุของสิวและความหมองคล้ำ หลังจากล้างหน้าทำความสะอาดผิวแล้ว ซับน้ำให้พอหมาดและทาครีมบำรุงทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำในผิวได้ด้วย
• ผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำ
  
  เมื่ออายุเพิ่มขึ้นประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติจะเริ่มทำได้น้อยลง ทำให้การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงต่าง ๆ ซึมลงผิวได้ไม่ดี การทำทรีทเมนต์เพื่อผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผิวขั้นตอนอื่น ๆ ดีมากขึ้น
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  
  น้ำคือส่วนประกอบสำคัญในร่างกายและเซลล์ต่าง ๆ เพิ่มความชุ่มชื่น เพิ่มความเต่งตึง ผิวสดใส ไม่โทรม ดังนั้นหากดื่มน้ำไม่เพียงพอผิวจึงเกิดภาวะขาดน้ำ ส่งผลถึงระบบร่างกายและกระทบไปถึงผิวพรรณของเรา เกิดอาการผิวแห้ง มีริ้วรอยขึ้นได้ค่ะ นอกจากนั้นหากผิวแห้งมาก ๆ ร่างกายจะเริ่มสั่งให้ผิวผลิตน้ำมันเคลือบผิวเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการอุดตัน เป็นสิวอักเสบ เกิดเป็นปัญหาลุกลามในอนาคตทั้งผิวไม่เรียบเนียน เป็นจุดด่างดำ หน้าหมองคล้ำ ตามมาได้
• ดูแลให้เหมาะกับสภาพผิว
  
  เพราะแต่ละคนมีผิวที่แตกต่างกัน ทำให้การดูแลจึงไม่เหมือนกัน หากดูแลได้อย่างถูกต้องแล้วจะทำให้ผิวสุขภาพดี ผิวอ่อนเยาว์ เต่งตึง เรียบเนียน ผิวนุ่มน่าสัมผัส เช่น ผิวแห้ง หากไม่เติม moisturizer ให้กับผิวจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาหนักขึ้นไปอีก

เห็นไหมคะว่าผิวของเรานั้นมีความซับซ้อน และต้องละเอียดอ่อนในการดูแล การป้องกันจึงมีความสำคัญมากค่ะ แต่เมื่อเกิดปัญหากับผิวพรรณขึ้นมาแล้วต้องรีบทำการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้ลุกลามหนักไปมากกว่าเดิมค่ะ ดังนั้นอีกหนึ่งในวิธีการที่จะเข้ามาช่วยจัดการปัญหาผิวที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับความนิยมมากในปัจจุบันนั่นก็คือ พิโคเลเซอร์ ที่มากับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Picosecond สามารถส่งพลังงานได้มากถึง 1 ต่อล้านล้านวินาที พร้อมด้วยความยาวคลื่น 755 nm เป็นช่วงคลื่นที่ดีที่สุด ดีกว่าความยาวคลื่น 1064 nm ถึง 3 เท่า จึงทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน และที่ Doctor Mek Clinic เหนือกว่าด้วยการเลือกใช้หัวเลนส์พิเศษ Focus Lens Array ตรงเข้ากำจัดเม็ดสีได้อย่างแม่นยำ ไม่ก่อให้เกิดแผล ไม่ตกสะเก็ด จึงไม่ต้องพักฟื้น ใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าเครื่องเลเซอร์รุ่นเก่า ทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้อย่างล้ำลึก ผิวจึงเปล่งปลั่ง เรียบเนียน กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล) ไม่ต้องโบ๊ะหน้าหนา ๆ เพื่อปกปิดอีกต่อไป เผยผิวสวยได้อย่างมั่นใจ