อากาศประเทศไทยที่มีแต่ร้อนกับร้อนมากกก โดยเฉพาะรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เข้ามาแผดเผาผิวของเรา เพียงแค่เดินออกจากบ้านแค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องรู้สึกแสบผิวจนต้องหาอะไรมาคลุมผิว หรือต้องวิ่งเข้าหาร่มไม้กันเลยทีเดียว นอกจากจะนำพาความร้อนมาสู่ผิวของเราแล้ว ยังให้โทษต่อผิวอย่างมหาศาลเลยล่ะค่ะ บทความนี้จะพาทุกคนไปดูถึงผลเสียของผิวที่ถูกแสงอาทิตย์เป็นประจำทั้งผิวหน้าและผิวกาย พร้อมเผยทริคการป้องกันและฟื้นฟูผิวมาฝากทุก ๆ คนด้วยค่า
ทำความรู้จักกับรังสี UV จากดวงอาทิตย์
แสงแดดจากดวงอาทิตย์ประกอบไปด้วยรังสีต่าง ๆ ที่แบ่งตามความยาวของคลื่นความถี่ ซึ่งมีตั้งแต่แสงที่มองเห็นไปจนถึงแสงที่มองไม่เห็น แต่รังสีที่อันตรายต่อผิวมากที่สุดจะเป็นรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสีเหนือม่วง ที่มีความยาวคลื่นช่วง 100 – 400 นาโนเมตร เป็นรังสีที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่มีความรุนแรงในการทำร้ายผิวสูงเลยล่ะค่ะ
รังสี UV ส่งผลเสียต่อผิวอย่างไรบ้าง
ซึ่งรังสี UV แบ่งออกได้เป็น UVA และ UVB ที่สามารถส่งผลเสียกับผิวเราได้ทั้งคู่
- UVA เป็นรังสีที่ทะลุทะลวงไปได้ในทุกที่ที่แสงแดดเข้าถึง ไม่เว้นแม้แต่กระจกก็สามารถทะลุผ่านได้ค่ะ ซึ่งก่อให้เกิดผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ หน้าเหี่ยว มีริ้วรอย ดูแก่ก่อนวัย
- UVB เป็นรังสีที่ไม่ทะลุผ่านกระจกได้ แต่หากปล่อยให้โดนแดดนาน ๆ จะก่อให้เกิดอาการผิวไหม้ ลุกลามไปจนถึงก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ในอนาคต
ใครที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นประจำหรือต้องโดนแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ ควรต้องหาตัวช่วยปกป้องผิว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุม ร่มกันแดด หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ช่วยปกป้องผิวค่ะ เท่านั้นยังไม่พอค่ะ รังสีจากดวงอาทิตย์ยังส่งผลกระทบต่อผิวหน้า นอกจากจะทำให้ผิวหน้าไหม้แล้ว ยังส่งผลเสียกับดวงตาและจอประสาทตาเสียหายได้ เกิดปัญหาผิวหน้าพัง ลามไปทั่วทุกจุด ใต้ตาหมองคล้ำ ไม่สดใส เกิดริ้วรอยขึ้นได้ บอกเลยผิวเสียมีผลกระทบมาจากว่ารังสี UV เลยจริง ๆ ยิ่งกับประเทศไทยที่มีแดดแรงแทบทุกฤดูกาลขนาดนี้ เราควรมีวิธีป้องกันไม่ให้ผิวของเราถูกทำร้ายจากดวงอาทิตย์กันดีกว่าค่ะ
วิธีป้องกันผิวจากดวงอาทิตย์
หาผลิตภัณฑ์มาป้องกันผิว เลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม ไม่ทำร้ายผิวและช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด ซึ่งครีมที่มี SPF 50 PA+++ จะสามารถช่วยป้องกันผิวได้ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี ควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที โดยสามารถเลือกลักษณะเนื้อกันแดดตามที่ชอบและเหมาะกับสภาพผิวของเราได้เลย รวมถึงสถานที่และกิจกรรมที่จะไปด้วย เพราะในปัจจุบันมีกันแดดทั้งแบบที่เป็นเนื้อครีม เนื้อเจล เนื้อน้ำ เป็นต้น
หาเครื่องแต่งกายที่สามารถปกป้องผิวได้ ก่อนออกไปทำธุระควรหาเสื้อผ้าที่สามารถปกปิด ป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสง UV มากเกินไป เช่น การสวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว จะเป็นการหาหมวกหรือแว่นตากันแดดมาใส่เพื่อไม่ให้ใบหน้าและดวงตาถูกแสงอาทิตย์มากเกินไป แต่ก็ต้องระวังด้วยนะคะ หากใส่แค่แว่นตาแล้วต้องอยู่โดนแดดนาน ๆ ผิวจะกลายเป็นดวงตามรอยแว่นตาได้ค่ะ
หาเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมในการป้องกันแดด วิธีนี้เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ชอบแต่งหน้าก่อนออกจากบ้าน หรือชอบแต่งเติมในระหว่างวัน เครื่องสำอางก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แต่หากต้องการที่จะสวยฉ่ำไปพร้อมกับการป้องกันผิวด้วย แนะนำให้เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ SPF หรือส่วนผสมที่มีสารป้องกันแดด รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถทาทับหลังแต่งหน้า พกไว้เติมระหว่างวันก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีนะคะ
วิธีนี้จะเป็นการปกป้องผิวไม่ว่าจะผิวกายหรือผิวหน้าแบบคร่าว ๆ ที่เราคัดสรรและนำมาให้ลองนำไปปรับใช้กันดูค่ะ แต่เมื่อผิวเราถูกทำร้ายจากดวงอาทิตย์แล้ว เราจะมีการฟื้นฟูอย่างไรให้กลับมาปังได้เหมือนเดิมดีล่ะคะ ตามไปอ่านกันต่อได้เลย
วิธีการฟื้นฟูผิวจากการถูกทำร้ายของดวงอาทิตย์
เจลว่านหางจระเข้ – โดยทั่วไปหากรู้สึกว่าผิวได้รับแสงอาทิตย์มากเกินจนทำให้ผิวไหม้หรือมีการแสบร้อน ให้นำเจลว่านหางจระเข้มาทาไปที่บริเวณผิวจะช่วยลดอาการแสบผิว ช่วยให้รู้สึกเย็น อีกทั้งยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อีกด้วย
หาผลิตภัณฑ์มาซ่อมแซมบำรุงผิว – สามารถใช้เป็นผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงสูตรคืนความกระจ่างใสให้กับผิว ที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง วิตามิน สารสกัดจากมะเขือเทศ หรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่ควรเลือกใช้ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเราด้วยนะคะ เพราะบางคนอาจเกิดอาการแพ้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ ทางที่ดีควรซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาทดลองใช้ก่อน
รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ – เพราะแดดเป็นตัวการในการสร้างอนุมูลอิสระ การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระก็สามารถช่วยได้ค่ะ เช่น การรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารเหล่านี้ เท่านี้ก็สามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมามีสุขภาพดีและแข็งแรงขึ้นได้
แต่สำหรับผิวบริเวณใต้ตาเป็นผิวหนังที่ค่อนข้างบอบบางที่สุด และได้รับผลกระทบจากการถูกทำร้ายโดยแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดทั้งความหมองคล้ำทั้งริ้วรอย จะหาวิธีฟื้นฟูก็ค่อนข้างยาก อีกทั้งยังใช้ระยะเวลานานในการรักษา หลายคนจึงไปพึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นั่นก็คือ ฟิลเลอร์ใต้ตา เพราะวิธีนี้สามารถช่วยฟื้นฟูผิวใต้ตาจากปัญหาความหมองคล้ำและริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากรังสี UV ได้ตั้งแต่ภายในออกมาสู่ภายนอก เพราะเป็นการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ด้วยเทคนิคเฉพาะของคุณหมอเมฆ แพทย์ด้านฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลคนไข้เองทุกเคส ออกแบบการรักษาที่แตกต่างไปตามรายบุคคลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เหมาะกับคนไข้แต่ละเคสที่มีปัญหาและสภาพผิวไม่เหมือนกัน สามารถเห็นผลลัพ์ที่ดีขึ้นหลังทำทันที (ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล) ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เขียว ไม่ช้ำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่งหน้าทำงานได้เลย ด้วยผลลัพธ์ที่ดีเป็นที่น่าพอใจแบบนี้ จนทำให้กลายเป็นคลินิกแถวหน้าของประเทศไทยที่ยืนหนึ่งในใจของใครหลายคน รวมไปถึงดาราชั้นนำของเมืองไทยที่ไว้วางใจเลือกใช้บริการที่ Doctor Mek Clinic เพราะใบหน้าเรามีเพียงใบหน้าเดียว จึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเอง