สมัยนี้มีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางที่เอาไว้สำหรับแต่งเติมผิวหน้าเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง หรือผลิตภัณฑ์ที่ไว้สำหรับปรนนิบัติผิว เพื่อให้ผิวดูมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยค่ะ ที่กำลังมีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงต่อผิว นั่นก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ จากที่จะทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นก็กลับกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ดูโทรมลงไปได้ง่าย ๆ วันนี้เราเลยจะมาแชร์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพว่าเป็นอย่างไร และผลเสียของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ เมื่อรู้แล้วรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้เลยนะคะสาว ๆ
ผลิตภัณฑ์ไม่มีประสิทธิภาพ
ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัย
อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เกิดใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีของที่ไม่ได้มาตรฐานปะปนกับของมีคุณภาพอยู่ในท้องตลาด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่หากสาว ๆ ไม่ได้เช็กอย่างระมัดระวังและไปเจอกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีการรับรองความปลอดภัยจาก อย. ย่อมมีอันตรายต่อผิวร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารอันตรายบางชนิด
สาว ๆ หลายคนก็มักจะซื้อสินค้าตามโฆษณาชวนเชื่อ ที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง เพราะคิดว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่โฆษณากล่าวอ้างไว้ แต่ความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์หลายตัวเป็นสินค้าเถื่อน และมีสารอันตรายปนเปื้อนอยู่ข้างในบรรจุภัณฑ์ ก่อให้เกิดผลเสียอย่างมากต่อผิว ไม่ว่าจะผิวพัง สิวเห่อ หน้าหมองคล้ำ ผิวลอก เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์หมดอายุ
เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมยอดฮิตสำหรับสาว ๆ เลยก็ว่าได้ค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงโปรโมชั่นหรือช่วง sale ของสินค้าชิ้นนั้น สาว ๆ ก็มักจะซื้อมากเกินความจำเป็น เรียกว่าซื้อมาดองไว้ก่อน จนใช้ไม่หมด ใช้ไม่ทัน กลายเป็นผลิตภัณฑ์หมดอายุไปในที่สุด หากยังนำกลับมาใช้ก็จะก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวมากกว่าดูแลผิวแน่ ๆ ค่ะ
สาว ๆ คนไหนที่กำลังมีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ ถ้าไม่อยากผิวพังไปมากกว่านี้ แนะนำว่าให้โละทิ้งลงขยะโดยด่วนเลยค่ะ หากยังฝืนใช้อยู่ต่อไปไม่รับรองความปลอดภัยของผิวนะคะ
ผลเสียของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
สาว ๆ หลายคนอาจไม่ได้ระมัดระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์มากนัก ผลที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ผิวหน้าเรามีสภาพที่เสื่อมโทรมเร็วขึ้นกว่าปกติ ผิวบอบบางลงแพ้ง่าย ใบหน้าเกิดริ้วรอย สิว ฝ้า กระ หรือแม้แต่ผิวบริเวณใต้ตาก็จะเกิดความหมองคล้ำ จนทำให้ใบหน้าดูโทรมลง อีกทั้งยังเกิดการระคายเคืองจากสารเคมีปนเปื้อน หรือจากการแพ้ผลิตภัณฑ์ และบางคนอาจแพ้หนักจนหน้าไหม้ถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาลได้เลยค่ะ
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็มีคุณสมบัติที่ช่วยปกป้องทะนุถนอมผิว หรือให้คุณค่าแก่ผิว เว้นแต่ว่าผลิตภัณฑ์ที่สาว ๆ ใช้อยู่นั้น เป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือมีประสิทธิภาพต่ำ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะให้โทษต่อผิวมากกว่าที่คิดเลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว เราจึงอยากมาเสริมวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือเครื่องสำอาง ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยต่อผิว เพื่อให้สาว ๆ นักช็อปได้นำไปปรับใช้กันค่ะ
ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างไรให้ปลอดภัยต่อผิว
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
พิจารณาความน่าเชื่อถือ โดยเช็กจากเครื่องหมายการค้าที่ถูกต้อง และได้การรับรองถึงคุณภาพความปลอดภัย มีสถานที่การผลิต มีบริษัทที่ก่อตั้งและการติดต่ออย่างครบถ้วนชัดเจน เพื่อที่เราจะสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดของผลิตภัณฑ์หรือติดต่อเวลาที่มีเรื่องต้องการร้องเรียน
- ให้ความสำคัญกับฉลากบนผลิตภัณฑ์
การอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะมีรายละเอียดทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ทั้งเรื่องของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย ส่วนประกอบต่าง ๆ รวมถึงวิธีใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้ทราบว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้น ๆ เหมาะสำหรับสภาพผิวแบบไหน เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกันไปของสภาพผิว ฉลากผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งที่ควรอ่านอย่างถี่ถ้วน ไปดูรายละเอียดแต่ละอย่างกันดีกว่าค่ะ ว่ามีอะไรกันบ้างที่เราต้องใส่ใจ
วิธีการใช้อย่างถูกต้อง : ในฉลากจะระบุรายละเอียดไว้ถึงปริมาณที่เหมาะสมในการใช้แต่ละครั้ง ว่าผลิตภัณฑ์นี้ใช้ทาในส่วนไหนของร่างกาย รวมถึงช่วงเวลาในการใช้ว่าเหมาะสำหรับทาในตอนกลางคืนหรือในช่วงเช้า ในแต่ละวันสามารถใช้ได้บ่อยแค่ไหน
ส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์ : เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าข้างในมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ถ้าหากพบสารชนิดใดแล้วเราเคยเกิดอาการแพ้ก็จะได้หลีกเลี่ยงก่อนนำมาใช้ หรือผู้ที่แพ้ง่ายสามารถใช้ได้หรือไม่ หรือมีส่วนประกอบที่เรากำลังมองหาเพื่อตอบโจทย์แก้ไขปัญหาผิวของเราหรือไม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการบำรุง ซึ่งส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์มีความสำคัญมาก สาว ๆ จึงควรอ่านอย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัยต่อผิวหน้านะคะ
วันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุ : สาว ๆ นักช็อปควรดูตรงนี้โดยด่วนเลยค่ะ ยิ่งช่วงโปรลดราคาต่าง ๆ มักจะเอาของที่ค้างสต๊อกไว้นานแล้ว หรือใกล้หมดอายุรีบนำออกมาลดราคาขาย ดังนั้นหากไม่อยากเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ควรเช็กอย่างละเอียด และซื้อแต่ความพอดี เพื่อที่เราจะสามารถใช้งานได้ทันก่อนหมดอายุนะคะ
คำเตือนการใช้ผลิตภัณฑ์ : ผลิตภัณฑ์บางชนิดจะมีระบุว่าสินค้านี้เหมาะกับใคร เช่น ผลิตภัณฑ์บางชนิดไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์ เป็นต้น
- ทดสอบอาการแพ้
หากเราไม่แน่ใจว่าแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไหม หลายผลิตภัณฑ์จึงมีขนาดทดลองให้เราสามารถได้ลองซื้อมาเทสกับผิวก่อน โดยสามารถลองทาที่บริเวณใต้ท้องแขนด้านในหรือบริเวณข้อพับแขนเป็นขนาดไม่ต้องกว้างมาก ไม่เกินเหรียญ 10 บาทก็ได้ค่ะ ทาทดสอบเป็นประจำเช้า – เย็น เป็นเวลา 7 – 10 วัน หากมีอาการแพ้ขึ้นมาจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมาใช้ต่อ และไม่ต้องเสี่ยงทาลงบนหน้าจริงด้วยค่ะ
เมื่อเรารู้ถึงวิธีการใช้อย่างถูกต้อง ศึกษาอย่างละเอียดดีแล้ว เราก็สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างเกิดประโยชน์และปลอดภัยต่อสุขภาพผิวของเราด้วยค่ะ แต่หากสาว ๆ คนไหนที่ยังคงมีปัญหาผิวใต้ตาหมองคล้ำ หน้าดูโทรม แก้ยังไงก็ไม่หาย ทาครีมเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนั้นเป็นเพียงแค่การดูแลภายนอก ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในชั้นผิวที่ลึก รวมไปถึงไม่สามารถลงไปถึงชั้นกระดูกได้ ขอแนะนำวิธีที่จะช่วยฟื้นฟูปัญหาใต้ตาพังอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสาว ๆ หลายคนเลือกวิธีนี้แล้วประทับใจในผลลัพธ์ อีกทั้งยังเห็นผลรวดเร็วกว่าการหาครีมมาบำรุง นั่นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการแก้ไขปัญหาความหมองคล้ำ ริ้วรอยใต้ตาอันเกิดมาจากปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งวิธีนี้สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้นทันทีหลังทำ (ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคล) กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ทิ้งรอยช้ำ ไม่มีรอยเขียว ไม่ต้องพักฟื้น โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และมีประสบการณ์มากพอ อย่างที่ Doctor Mek Clinic คลินิกที่ขึ้นชื่อในเรื่องของฟิลเลอร์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากคนไข้จริงรวมไปถึงดาราชั้นนำของเมืองไทยเลือกใช้บริการ ดูแลทุกเคสโดยคุณหมอเมฆ แพทย์ด้านฟิลเลอร์ เป็นผู้วิเคราะห์กายวิภาคหน้า ประเมินปัญหา เลือกวิธีแก้ไขที่เหมาะสมกับคนไข้ในแต่ละเคสที่มีความแตกต่างกันได้อย่างแม่นยำและตรงจุด ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นที่น่าประทับใจสุด ๆ หากใครที่กำลังประสบปัญหาผิวใต้ตาหมองคล้ำ หรือมีปัญหาอื่น ๆ สามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอเมฆ และทีมแพทย์ของ Doctor Mek Clinic ได้เลยนะคะ