โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยอะไร และข้อควรรู้ก่อนฉีด
ฟิลเลอร์ใต้ตา หัตถการยอดฮิตสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาบริเวณรอบดวงตา ทั้งความหมองคล้ำ ร่องใต้ตาลึก ถุงใต้ตา เบ้าตาโหลที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมหรือแก่กว่าวัยแม้พักผ่อนมาอย่างเต็มที่ ซึ่งการฉีดใต้ตาจะเข้ามาช่วยฟื้นฟูปัญหาเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เคลียร์ครบจบทุกปัญหาใต้ตาได้ไม่ยาก ทั้งยังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการฉีดฟิลเลอร์ ใต้ตาจึงเป็นเทรนความงามที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง บทความนี้ก็ได้รวบรวมเนื้อหาและข้อควรรู้ก่อนฉีด filler มาฝากให้กับทุกท่านที่กำลังสนใจอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนใช้บริการค่ะ
Key Takeaway
- ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการแก้ไขปัญหาใต้ตาด้วยการใช้สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA)
- ตัวสารสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ จึงทำให้ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่แบบถาวร
- สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีการผ่าตัด
- ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์แท้เพื่อความปลอดภัย
สารบัญบทความ
- ทำความเข้าใจ ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร
- สาเหตุของการเกิดปัญหาใต้ตา ที่เราควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องอะไรบ้าง
- ลักษณะถุงใต้ตาแบบไหนที่ไม่เหมาะแก่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง
- เปรียบเทียบการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเตรียมตัวอย่างไร
- ขั้นตอนการรักษา
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรดูแลตัวเองอย่างไร
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
- ข้อแตกต่างของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับดอลลี่อาย
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? ควรพิจารณาจากอะไรบ้าง
- รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จากผู้ที่มาใช้บริการจริง
- Q/A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา
- สรุปฟิลเลอร์ใต้ตาดีไหม
ทำความเข้าใจ ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร
ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ หัตถการความงามที่ช่วยแก้ไขปัญหาบริเวณใต้ตาโดยใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA ฉีดเข้าไปที่บริเวณใต้ตาในจุดที่มีปัญหา ซึ่งคุณสมบัติของสารเติมเต็มชนิดนี้คือสามารถอุ้มน้ำ หรือกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ดังนั้นเมื่อฉีดเข้าไปที่ใต้ชั้นผิวแล้วจะทำให้ผิวมีความเรียบเนียน ใต้ตาอิ่มฟู ร่องลึกดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังทำให้ความหมองคล้ำบริเวณใต้ตาจางลง และชะลอการเกิดริ้วรอยขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งหลังฉีดฟิลลเอร์ใต้ตายังสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม แม้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยต่อร่างกาย เพราะเป็นสารที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติโดยไม่มีสารตกค้างในร่างกาย แต่ก็ควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มีความชำนาญและใช้ฟิลเลอร์แท้เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงที่อันตรายตามมาค่ะ
สาเหตุของการเกิดปัญหาใต้ตา ที่เราควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เราต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุเกิดจากอะไรบ้าง ซึ่งสาเหตุเกิดขึ้นได้หลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้นนี้มาจากสาเหตุใดบ้าง
- ริ้วรอย รอยพับใต้ตา – เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คอลลาเจนใต้ชั้นผิวลดลง รวมไปถึงการยุบตัวของกระดูกใต้ตาจนทำให้ผิวขาดความกระชับ หย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยตามมา
- ใต้ตาหมองคล้ำ – ส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคภูมิแพ้ที่ทำเลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ทำให้เส้นเลือดขยายตัว รวมไปถึงการพักผ่อนน้อย ความเครียด และกรรมพันธุ์ที่ทำให้ใต้ตาคล้ำ
- เบ้าตาลึก รอบดวงตาดูโบ๋ ร่องลึกใต้ตา – มักเกิดจากกรรมพันธุ์ที่มีโครงหน้าเบ้าตาลึก หรือเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นจนทำให้มีร่องใต้ตา
- ถุงใต้ตา – เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ใต้ตามีความหย่อนคล้อย ไขมันฝ่อตัวลงจนเห็นถุงใต้ตา หรือกระดูกเบ้าตามีการเจริญเติบโตไม่ดี
นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาบริเวณใต้ตาได้เช่นเดียวกัน เช่น การขยี้ตา การพักผ่อนน้อย ความเครียด รวมไปถึงการดูแลตัวเอง หากพฤติกรรมเหล่านี้เรายังทำเป็นประจำทุกวันอาจทำให้เกิดปัญหาใต้ตาก่อนวัยอันควร หรือมีความรุนแรงมากขึ้นได้
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องอะไรบ้าง
ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้ดวงตาดูแก่ โทรม และดูเหนื่อยล้า ให้กลับมาสดใสดูอ่อนวัย ผิวใต้ตากลับมาเต่งตึง เรียบเนียน และยังช่วยแก้ไขปรับสีผิวใต้ตาให้กระจ่างใสมากอีกด้วย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขปัญหาใต้ตาได้อย่างครอบคลุม ดังนี้ค่ะ
- ช่วยทำให้ริ้วรอย รอยพับใต้ตาตื้นขึ้น ผิวใต้ตาเรียบเนียนเต่งตึง
- แก้ไขปัญหาใต้ตาดำ หมองคล้ำ ปรับสีผิวให้กลับมากระจ่างใส ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
- แก้ไขปัญหาเบ้าตาลึก รอบดวงตาดูโบ๋ มีร่องใต้ตา ซึ่งเกิดจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา
- แก้ไขปัญหาถุงใต้ตารวมถึงรอยเหี่ยวย่นที่หางตา ให้กลับมาเรียบเนียน ดูอ่อนวัย
ลักษณะถุงใต้ตาแบบไหนที่ไม่เหมาะแก่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ถุงใต้ตาแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้ค่ะ
- ถุงใต้ตาแท้ – เกิดจากระบบต่อมไร้ท่อในร่างกายมีการทำงานผิดปกติจนทำให้ไขมันหรือของเหลวไหลมากองรวมกันบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวในบริเวณนั้นดูนูนขึ้นจนเกิดเป็นถุงใต้ตา สาเหตุก็มักจะมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น การเสื่อมสภาพของผิว หรือกรรมพันธุ์
- ถุงใต้ตาเทียม – ส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมของเราเอง โดยเฉพาะการนอนดึกติดต่อกันเป็นเวลานาน การกินเค็ม หรือทำงานหน้าจอคอมบ่อย ๆ ใช้สายตาเยอะ ทำให้เกิดเป็นก้อนนูนบริเวณใต้ตา
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ก็จะเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดจากการยุบตัวลงของกระดูก มีเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวยืดออกมา ซึ่งเมื่อฉีดถุงใต้ตาสารเติมเต็มมันก็จะเข้าไปทดแทนเนื้อเยื่อและกระดูกที่ยุบตัวลง ทำให้ผิวในบริเวณนั้นมีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น แต่ในกรณีถุงใต้ตาเทียมหากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็จะทำให้ปัญหานี้ทุเลาลงได้ค่ะ
ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง
- คนที่มีปัญหาใต้ตาดำคล้ำ ขอบตาดำ ทำให้ใบหน้าดูโทรม เหนื่อยล้า
- คนที่มีปัญหาริ้วรอย มีรอบพับบริเวณใต้ตา ทำให้หน้าดูแก่ก่อนวัย
- คนที่มีปัญหาเบ้าตาลึก ตาโบ๋ มีร่องใต้ตาลึก ที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีอื่นได้
- คนที่มีปัญหาถุงใต้ตาที่เกิดจากการหย่อนตัวจากกระดูกใต้ตาทรุด ไขมันบางลง จากอายุที่มากขึ้น
- คนที่เคยใช้วิธีอื่นแก้ปัญหาใต้ตามาแล้ว แต่ยังไม่เห็นผล
- คนที่ไม่ต้องการใช้วิธีการผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น และอยากให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็ว
เปรียบเทียบการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันใต้ตา เป็นสองหัตถการยอดฮิตสำหรับคนที่ต้องการเติมเต็มความสดใส แก้ไขปัญหาผิวบริเวณใต้ตา ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ต่างมีกระบวนการรักษา สารที่ใช้ และยังมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้
ฟิลเลอร์ใต้ตา
สารที่ใช้ : ใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เป็นสารบริสุทธิ์ที่เลียนแบบสารในร่างกายของเรา เพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตา
ระยะเวลาของผลลัพธ์ : หลังฉีดเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทันที และให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน (*ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และยี่ห้อหรือรุ่นที่ฉีด)
ข้อดี :
- เห็นผลลัพธ์ที่ดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดูแลง่าย
- ผลลัพธ์มีความเป็นธรรมชาติ ผิวเรียบเนียน
ข้อเสีย/ข้อจำกัด :
- ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถาวร ต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผลลัพธ์
- อาจเกิดอาการบวม แดงบริเวณที่ฉีดได้ แต่จะหายไปในไม่กี่วัน
ฉีดไขมันใต้ตา
สารที่ใช้ : ใช้เซลล์ไขมันจากตัวเราเองมาผ่านกระบวนการปั่นคัดแยกจนได้เซลล์ไขมันที่ดีมาฉีดบริเวณใต้ตา
ระยะเวลาของผลลัพธ์ : ในการทำครั้งแรกอาจจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ต้องกลับมาฉีดซ้ำหลายรอบ และผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานกว่า 1 ปี (*ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และการดูแลหลังทำหัตถการ)
ข้อดี :
- ไม่มีสิ่งแปลกปลอม เพราะเป็นวิธีที่ใช้ไขมันจากในร่างกาย
- เหมาะสำหรับคนที่แพ้สารเติมเต็ม
- ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานกว่า 1 ปี (*ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
ข้อเสีย/ข้อจำกัด :
- มีขั้นตอนการรักษาที่ยุ่งยาก
- มีแผลในบริเวณที่ดูดไขมันออกมาใช้
- ไม่เห็นผลลัพธ์ได้ในครั้งแรก ต้องกลับมาทำซ้ำถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
- อาจทำให้ผิวมีความขรุขระ ไม่เรียบเนียน เพราะไขมันมีระยะเวลาการยุบตัวไม่เหมือนกัน
- ไม่สามารถใช้ในการยกกระชับผิวใต้ตาได้
จะเห็นได้ว่าทั้งฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันมีจุดที่แตกต่างกัน อยากให้เลือกวิธีที่เหมาะกับเรามากที่สุด แนะนำให้เข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ได้ประเมินและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
ทุก ๆ หัตถการความงามก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกันกับฟิลเลอร์ใต้ตาที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เราสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจได้ดังนี้
ข้อดีของฟิลเลอร์ใต้ตา
- แก้ไขปัญหาใต้ตาได้อย่างครอบคลุมและเห็นผลชัดเจน
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผลเป็น ใช้เวลาทำเพียงไม่นาน ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก
- เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- เป็นวิธีที่ปลอดภัยและฟิลเลอร์แท้ได้รับรองอย่างถูกต้องจากอย.
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18-24 เดือน* (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้และการดูแลตัวเองของคนไข้แต่ละบุคคล)
- เมื่อเวลาผ่านไป ฟิลเลอร์แท้ที่ฉีดเข้าไปจะสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่เหลือสิ่งตกค้าง
ข้อเสีย/ข้อจำกัดของฟิลเลอร์ใต้ตา
- เป็นหัตถการที่ไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบถาวร เพราะสารเติมเต็มจะค่อย ๆ สลายไปได้เองตามกลไกธรรมชาติ
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจมีอาการบวมหรือแดงจากรอยเข็มที่ฉีด แต่มันจะหายเป็นปกติภายในไม่กี่วัน
- จำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำหากต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน
- หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่ชำนาญ อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นธรรมชาติ หรือทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้
- หากฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือของที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดผลกระทบร้ายแรงตามมา เช่น การอักเสบติดเชื้อ เกิดภาวะเนื้อตาย หรือตาบอด
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเตรียมตัวอย่างไร
- 2 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรงดรับประทานยาและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน, ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาละลายลิ่มเลือด, วิตามินซี วิตามินอี, น้ำมันตับปลา เป็นต้น
- หากมีโรคประจำตัว ประวัติแพ้ยาชา หรือกำลังรับประทานยารักษาโรคชนิดใดอยู่ ควรแจ้งกับแพทย์ก่อนฉีด
- 1-3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เนื่องจากอาจมีผลทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย
- ในวันที่เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ที่ตำแหน่งใต้ตา ควรงดแต่งหน้าโดยเฉพาะบริเวณใต้ตาและรอบดวงตา
- ดื่มน้ำเยอะ ๆ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการฉีด
ขั้นตอนการรักษา
หลังจากที่คนไข้เข้ารับคำปรึกษา ตรวจวิเคราะห์และประเมินการรักษา รวมถึงคนไข้ได้ตัดสินใจเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว คนไข้สามารถตกลงฉีดฟิลเลอร์ได้ในวันเดียวกัน หรือทำการนัดหมายแพทย์เพื่อทำการรักษาภายหลัง ซึ่งหลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณใต้ตา ดังนี้
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์กับคนไข้ ในระหว่างนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามกับแพทย์ได้ค่ะ
- ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดก่อนทำการฉีดบริเวณใต้ตา
- จากนั้น แพทย์ทำการกำหนดตำแหน่งและแปะยาชาบริเวณที่จะทำการฉีด
- เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จึงทำการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ได้ทำการวางแผนและกำหนดตำแหน่งไว้
- ใช้เวลาฉีดเพียงไม่นาน หลังจากนั้นแพทย์อธิบายวิธีการดูแลตัวเองกับคนไข้ และคนไข้สามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรดูแลตัวเองอย่างไร
- ในช่วง 2-3 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีผิวแดงและบวมได้ ทั้งนี้เป็นอาการปกติที่พบได้และจะหายไปได้เอง โดยคนไข้สามารถใช้วิธีการประคบเย็นได้
ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ วันละ 2-3 ลิตร เพื่อช่วยทำให้สารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น - ห้ามนวด สัมผัส การกดถูแรง ๆ และการขยี้ตาบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการอยู่หรือทำกิจกรรมในที่ที่มีอากาศร้อน เช่น การซาวน่าหรือการเล่นกีฬากลางแจ้ง รวมถึงงดการโดนแสงแดดจัด และการอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง
- งดการทำเลเซอร์หรือการทำหัตถการอื่น ๆ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ (หรือตามที่แพทย์แนะนำ)
- งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดการทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารไม่สุก อาหารรสจัด อาหารหมักดอง เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งสกปรกเจือปน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
ต้องบอกก่อนว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ซึ่งบางอาการจะไม่ได้เป็นอันตรายกับร่างกายแต่อย่างใด เป็นผลข้างเคียงเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น บางอาการจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ แต่บางอาการอาจเกิดขึ้นได้นานถึง 2 สัปดาห์
- รอยแดง : เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากเข็มที่ฉีด
- บวมช้ำ : อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่ฉีด หรือฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ดี
- ผิวไวต่อการสัมผัส : บางรายอาจมีอาการช้ำได้ง่าย หรือเกิดการระคายเคืองเมื่อสัมผัส
- อาการคันหรือระคายเคือง : เป็นอาการที่เกิดขึ้นเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
- ฟิลเลอร์เคลื่อน : เกิดจากการฉีดผิวตำแหน่ง หรือฉีดผิดชั้นผิว รวมไปถึงการดูแลตัวเองไม่ดีอาจทำให้สารเติมเต็มเคลื่อนที่ได้
สำหรับใครที่กลัวว่าฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ? ถ้าฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการรักษา ปรับรูปหน้าด้านฟิลเลอร์ รวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เป็นของแท้ ได้มาตรฐานผลลัพธ์ที่ได้จะดูดีขึ้นและมีความปลอดภัยอย่างแน่นอนค่ะ
ข้อแตกต่างของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับดอลลี่อาย
หลายคนคงมีความเข้าใจว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับดอลลี่อาย เป็นหัตถการที่เหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตานั้น เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA แก้ไขปัญหาใต้ตาต่าง ๆ เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตาลึก เบ้าตาลึก ใต้ตาดำคล้ำ และถุงใต้ตา ช่วยปรับให้ผิวใต้ตากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนวัย ในขณะที่การฉีดดอลลี่อายนั้น เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA ไปยังบริเวณขอบตาล่างซึ่งชิดกับแนวของขนตา เพื่อช่วยให้ขอบตาล่างหนาขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ช่วยให้ใบหน้าดูเด็กลงได้เช่นเดียวกันค่ะ โดยทั้ง 2 หัตถการนี้เหมือนกันตรงที่ใช้สารเติมเต็ม HA เหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่จุดประสงค์ในการฉีดนั่นเองค่ะ แต่ทั้งนี้ คนไข้สามารถเลือกทำทั้งการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณใต้ตาเพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตาต่าง ๆ ร่วมกับการฉีดดอลลี่อายเพื่อเพิ่มความน่ารักสดใสได้
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ Restylane
- Restylane Classic – ฟิลเลอร์ใต้ตาrestylane รุ่น Classic มีความยืดหยุ่นสูง เกาะกับผิวได้ดี เหมาะสำหรับนำมาฉีดแก้ไขริ้วรอยระดับปานกลาง-มาก อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Restylane Defyne – เป็นรุ่นที่มีเนื้อเจลนิ่มในระดับปานกลาง ยืดหยุ่นได้ดี มักถูกนำมาฉีดบริเวณที่มีการยุบตัวของกระดูกบนใบหน้า หรือจุดที่มีริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวบ่อยอย่างใต้ตา อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Restylane Vital – เป็นรุ่นที่มีเนื้อนิ่ม ละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะแก่การนำมาฉีดบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือริ้วรอยตื้นบริเวณใต้ตา อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Restylane Vital Light – รุ่นนี้จะเน้นไปที่การฟื้นบำรุงผิว และถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาจุดเล็ก ๆ หรือเก็บรายละเอียด เช่น ริ้วรอยตรงร่องน้ำตา หรือฉีดแก้ใต้ตาคล้ำ อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
ฟิลเลอร์ Juvederm
- Juvederm Volite – เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฉีดแล้วกลืนกับผิวได้ดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับคุณภาพผิว หรือฉีดในจุดที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
- Juvederm Voluma – เป็นรุ่นที่มีเนื้อแข็ง ให้ความฟูระดับปานกลางและยืดหยุ่นได้ดี เหมาะแก่การนำมาฉีดเติมใต้ตาที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูก อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Juvederm Volift – รุ่นนี้จะให้ความละเอียดสูงกว่ารุ่นอื่น เหมาะกับคนที่มีผิวบอบบาง สามารถนำไปเติมจุดที่เป็นร่องลึก หรือเก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volbella – ฟิลเลอร์ใต้ตาอีกหนึ่งรุ่นที่อยากแนะนำเพราะเป็นรุ่นที่มีความละเอียด เนื้อเจลค่อนข้างนิ่ม เหมาะสำหรับนำมาฉีดบริเวณที่ไม่ต้องเติมวอลลุ่มเยอะ ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ แพทย์นิยมฉีดใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 12-15 เดือน
ฟิลเลอร์ Belotero
- Belotero Soft – เป็นรุ่นที่มีความละเอียดสูง ถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยตื้น หรือริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ฉีดไปแล้วกลืนกับผิวได้ดี อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Belotero Volume – รุ่นนี้จะมีความคงตัวและยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับนำมาเติมใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Belotero Revive – เป็นฟิลเลอร์งานผิวเนื้อละเอียด เน้นเรื่องการปรับคุณภาพผิวทั้งริ้วรอย ความชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน สามารถนำมาฉีดฟื้นฟูผิวบริเวณใต้ตาได้ อยู่ได้นาน 9 เดือน
ฟิลเลอร์ Yvoire
- YVOIRE Classic Plus – เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเล็ก ให้ความละเอียดสูง เหมาะสำหรับนำมาฉีดแก้ไขริ้วรอยตื้นบนใบหน้า หรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว สามารถนำมาฉีดใต้ตา หรือลดรอยตีนกาได้ อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
ฟิลเลอร์ Neuramis
- Neuramis Deep Lidocaine – เป็นรุ่นที่ให้ความหนืดของสารในระดับปานกลาง มีความอิ่มฟู สามารถนำมาเติมเต็มร่องลึก เช่นใต้ตาชั้นลึกได้ และมีส่วนผสมของยาชา อยู่ได้นาน 9-12 เดือน
ฟิลเลอร์ Revolax
- Revolax Fine with Lidocaine – สำหรับรีโวแลกซ์รุ่นที่แนะนำให้มาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือรุ่น Fine เป็นรุ่นที่มีเนื้อเจลบางเบา เหมาะสำหรับนำมาแก้ไขริ้วรอยรอบดวงตา รอยตีนกา มียาชาผสม อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
ฟิลเลอร์ Teoxane
- Teoxane REDENSITY 2 – เป็นรุ่นฟิลเลอร์ใต้ตาที่ผ่าน FDA สำหรับฉีดรอบดวงตาและใต้ตาโดยเฉพาะ อยู่ได้นาน 12 เดือน
ฟิลเลอร์ Mesofiller
- Mesofiller Global – เป็นรุ่นที่มี texture นิ่ม ฉีดไปแล้วเกลี่ยหรือเบลนไปกับผิวได้ง่าย เหมาะสำหรับฉีดแก้ไขริ้วรอยร่องตื้น สามารถฉีดบริเวณใต้ตาหรือรอบดวงตาได้ อยู่ได้นาน 9-12 เดือน
ฟิลเลอร์ Ultra V Hyal Filler
- Fine – มีเนื้อเจลบางเบา เหมาะแก่การนำไปฉีดบริเวณชั้นหนังแก้ส่วนกลางเพื่อแก้ไขริ้วรอยแบบตื้น ๆ หรือเติมใต้ตาให้มีความอิ่มฟูขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
*หมายเหตุ: ระยะเวลาผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ใช้และลักษณะผิวของแต่ละบุคคล
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? ควรพิจารณาจากอะไรบ้าง
- คลินิกที่ได้มาตรฐาน – ควรเลือกสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีแหล่งที่ตั้ง และมีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างชัดเจน
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์ – แพทย์ต้องมีทักษะในการวิเคราะห์ ประเมิน และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของคนไข้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
- ใช้ฟิลเลอร์แท้ – ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองมาอย่างถูกต้อง และคลินิกจะต้องแกะกล่องใหม่ต่อหน้าคนไข้ และให้นำกลับบ้านไปเช็กได้ทุกกล่อง
- มีรีวิวฟิลเลอร์ใต้ตาจากคนไข้จริง – จะต้องมีทั้งภาพนิ่ง วิดีโอ หรือการไลฟ์สดเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ก่อนทำหลังทำ รวมไปถึงกระบวนการรักษาของแพทย์
เพราะฟิลเลอร์ไม่ควรฉีดกับใครก็ได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกทำที่ไหนควรเอาข้อพิจารณาเหล่านี้ไปประกอบการตัดสินใจให้รอบคอบเพื่อความปลอดภัย
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จากผู้ที่มาใช้บริการจริง
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ริ้วรอยใต้ตา
ก่อนทำ : มีปัญหาริ้วรอยบริเวณใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ดูมีอายุ
หลังทำ : ริ้วรอยดูจางลง ผิวใต้ตาเรียบเนียนขึ้น
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ถุงใต้ตา
ก่อนทำ : มีก้อนถุงใต้ตานูนออกมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ใบหน้าดูไม่สมูท
หลังทำ : ใต้ตาเสมอกัน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ใต้ตาคล้ำ
ก่อนทำ : มีปัญหาความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อย ไม่สดใส
หลังทำ : หลังเติมฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วความหมองคล้ำดูจางลง ใบหน้าดูสดใสขึ้นจากเดิม
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ใต้ตาหย่อนคล้อย
ก่อนทำ : มีปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้
หลังทำ : ใต้ตาดูกระชับ เรียบเนียนและมีความเต่งตึงขึ้น
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ร่องน้ำตา
ก่อนทำ : มีร่องน้ำตาลึกและมีความหมองคล้ำร่วมด้วย ทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่น
หลังทำ : ร่องน้ำตาดูตื้นขึ้น ใต้ตาเต็มขึ้นและช่วยลดความหมองคล้ำได้
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ร่องลึกใต้ตา
ก่อนทำ : มีร่องลึกบริเวณใต้ตา ร่วมกับใต้ตาคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า
หลังทำ : ร่องลึกดูตื้นขึ้น ใต้ตามีความเต็ม อิ่มฟู ความหมองคล้ำจางลง
Q/A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา
รวมคำถามยอดฮิตที่คนถามมากที่สุดเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการได้ทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนใช้บริการ
ฟิลเลอร์ใต้ตาเสี่ยงตาบอดจริงไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดอาจเกิดขึ้นได้จริง แต่พบได้น้อยมากหากเทียบกับการฉีดสารประเภทอื่น ๆ เพราะ filler เป็นสารที่ให้ความปลอดภัยต่อร่างกาย ซึ่งสาเหตุที่ฉีดไปแล้วตาบอดอาจเกิดขึ้นได้จาก
- การใช้ฟิลเลอร์ปลอม
- ฉีดกับหมอกระเป๋าหรือหมอเถื่อนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้า
- เกิดข้อผิดพลาดในการรักษา ฉีดเข้าหลอดเลือดจนทำให้เกิดการอุดตัน
แม้ความเสี่ยงของอาการตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่แพทย์ก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้า รวมไปถึงเส้นเลือดที่สำคัญบริเวณรอบดวงตา หากคนไข้ฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ฟิลเลอร์แท้โอกาสที่หลังฉีดไปแล้วตาบอดแทบไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรใช้กี่ cc ?
ในการรักษาแต่ละครั้งแพทย์จะประเมินปริมาณ cc แบบ case by case ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาใต้ตาของแต่ละคนควรเติมฟิลเลอร์ในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่ไม่ได้มีปัญหาใต้ตาเยอะมากก็จะอยู่ที่ 1-2 cc. ต่อข้าง แต่ถ้าหากคนไข้มีการยุบตัวของกระดูกที่ค่อนข้างลึกหรือมีปัญหาใต้ตาลึก แพทย์จะประเมินอยู่ที่ 2-3 cc ต่อข้างค่ะ
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล ?
สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยในช่วง 4-5 วันคนไข้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ชัดขึ้น เพราะเมื่อฟิลเลอร์ใต้ตาเริ่มเข้าที่ และหลังทำไปแล้ว 2 สัปดาห์จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะสารเติมเต็มได้ผสานรวมกับเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวของเราค่ะ
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปแล้วฟิลเลอร์จะสามารถคงสภาพผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับสภาพผิว ยี่ห้อหรือรุ่นที่ฉีด รวมไปถึงการดูแลตัวเอง ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวไวหรือทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ เช่น การอยู่ในอากาศร้อน การกด ขยี้ใต้ตา เป็นต้น
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร แก้ไขได้ไหม ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนเกิดได้จากสาเหตุ ดังนี้
- แพทย์ใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดผิดชั้นผิว
- ใช้รุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ไม่เข้ากับตำแหน่งที่ฉีด
- ใช้ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน หรือฟิลเลอร์ปลอม
- แพทย์ยังไม่ชำนาญในการรักษา
ซึ่งวิธีการแก้ไขก็ต้องดูก่อนว่ามันเป็นก้อนจากสาเหตุอะไร หากเป็นเพราะการฉีดผิดตำแหน่ง หรือเลือกใช้ฟิลเลอร์ไม่เข้ากับใต้ตาแต่ใช้ฟิลเลอร์แท้ (HA) ก็สามารถแก้ไขไขโดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาได้เลยค่ะ
ฟิลเลอร์ใต้ตาราคาเท่าไหร่ ?
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาที่ Doctor Mek Clinic จะเริ่มต้นที่ 13,900 บาท* ทั้งนี้ ค่าบริการอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด ยี่ห้อที่ใช้ รวมไปถึงโปรโมชั่นที่ทางคลินิกจัดขึ้นตามช่วงเวลาต่าง ๆ ค่ะ
สรุปฟิลเลอร์ใต้ตาดีไหม
ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่สามารถเคลียร์ปัญหาบริเวณใต้ตาได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาถุงใต้ตา ริ้วรอยร่องลึก ใต้ตาคล้ำ อีกทั้งยังเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแผลเป็น และยังเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย หากได้รับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์สูง และมีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาบริเวณใต้ตาที่ Doctor Mek Clinic เรามีให้บริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ผู้ชำนาญการด้านฟิลเลอร์สามารถให้คำปรึกษา พร้อมประเมินการรักษาให้เข้ากับใบหน้าของแต่ละบุคคล สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE : @doctormekclinic
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ตำแหน่งอื่น ๆ ที่น่าสนใจ