ชวนมาทำความรู้จักนวัตกรรมการเติมเต็มพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนผิว Radiesse ส่งตรงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กลายมาเป็นหนึ่งในทางเลือกที่แพทย์ทั่วโลกให้ความสนใจ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถปรับปรุงคุณภาพผิว (Skin Quality) กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเติมเต็มผิวให้มีวอลลุ่มมากยิ่งขึ้นได้ในตัวเดียว ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นความหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ แก้มซูบ ขมับตอบ หรือรอยเหี่ยวย่นตามลำคอ หลังมือก็สามารถจัดการได้ ซึ่งในบทความนี้ ก็จะพามาล้วงลึกทุกข้อสงสัยไม่ว่าจะเป็นจุดเด่นคืออะไร? เหมาะกับใคร? เหมือนกับ filler ไหม? ราคาเท่าไหร่? ของแท้ดูตรงไหน? พร้อมแปะรีวิวเปรียบเทียบความแตกต่างกันให้เห็นแบบชัด ๆ ใครกำลังศึกษาผลิตภัณฑ์นี้อยู่ ห้ามพลาดเลยค่ะ
Radiesse คืออะไร
Radiesse คือ นวัตกรรมที่จัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่พบอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว และจัดอยู่ในกลุ่ม Regenerative Biostimulator มาพร้อมคุณสมบัติเด่นที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Type I, Type III) รวมไปถึงอิลาสตินบริเวณใต้ชั้นผิว ส่งผลให้ผิวสุขภาพดี แข็งแรง ดูยกกระชับ มีความชุ่มชื้น และเพิ่มความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดยสารชนิดนี้จะคล้ายคลึงกับฟิลเลอร์ที่อยู่ในกลุ่ม Hyaluronid Acid นั่นเอง
นอกจากนี้แล้ว ผลิตภัณฑ์ Radiesse ยังเป็นสารเติมเต็ม CaHA รายแรกและรายเดียวของโลกที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ในประสิทธิภาพด้านการยกกระชับ ปรับรูปหน้า พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้แก่ผิว
ชวนรู้จัก CaHA ตัวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิว
หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าตัว CaHA มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวของเรายังไง ซึ่งจะบอกว่า สารชนิดนี้เป็นโมเลกุลชนิดเดียวกับกระดูกของเรา และยังเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่พบอยู่ในกระดูกและฟันของเราอีกด้วย เมื่อฉีด CaHA เข้าไปชั้นใต้ผิวหนัง ตัวสารจะเข้าไปทำหน้าที่เติมเต็มวอลลุ่มให้กับผิว ปรับร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้นได้ทันที และเมื่อฉีดเข้าไปแล้วนั้น ตัวสารจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเหมือนแคลเซียมในกระดูกของเรา พร้อมก่อตัวขึ้นเป็นโครงสร้างลักษณะโครงตาข่ายสามมิติ (3D Matrix) กระตุ้นให้เกิด Fibroblast (ไฟโบรบาสต์) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดให้คอลลาเจนและอิลาสตินได้ทำงาน จากนั้น มันจะเริ่มเกิดเป็นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ โดยเมื่อเวลาผ่านไป อนุภาคของสาร CaHA มันจะค่อย ๆ สลายตัวไปเหลือเพียงแค่คอลลาเจนใหม่ที่ยังคงอยู่ในร่างกาย
Radiesse ช่วยอะไรบ้าง
Radiesse Filler เป็นนวัตกรรมการเติมเต็มผิวที่มาพร้อมกับ 3 คุณสมบัติอันโดดเด่นที่เรียกว่า “The Triple Effect” ที่ช่วยเติมเต็ม ปรับปรุง พร้อมเพิ่มมิติให้แก่ใบหน้า ฟื้นฟูคุณภาพผิวให้แข็งแรงขึ้นในระยะยาวได้อย่างลงตัว ซึ่ง The Triple Effect จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
- Versatile Filling – เติมเต็มริ้วรอยร่องลึกบริเวณใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอและมือ ทำให้ผิวดูอิ่มฟูเป็นธรรมชาติ
- Volume Lifting & Contouring – หลังจากที่ CaHA เข้าไปใต้ชั้นผิว มันจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นโครงสร้างที่ช่วยกระตุ้น Fibroblast ให้เกิดการผลิตเส้นใยคอลลาเจนให้หนาแน่นขึ้น ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและสามารถปรับรูปหน้าได้
- Skin Rejuvenation – ปรับปรุงคุณภาพผิว กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ปรับผิวให้ดูกระจ่างใส อิ่มฟู และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิวได้อีกด้วย
Radiesse เพิ่มประสิทธิภาพผิวให้ดีขึ้นได้ในระยะยาวด้วยการฟื้นฟูทั้ง 5 ประการ
ซึ่งนอกจากจะมาพร้อม 3 คุณสมบัตินี้แล้วนั้น Radiesse ยังสามารถฟื้นฟูคุณภาพผิวได้ถึง 5 องค์ประกอบ ที่ทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว ได้แก่
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type I ให้เพิ่มมากขึ้น 150%
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type III ให้เพิ่มมากขึ้น 130%
- ช่วยเพิ่มอิลาสตินให้กับผิวมากขึ้น 260% ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- เพิ่มสารหล่อเลี้ยงผิว หรือ Proteoglycan ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น
- เพิ่มสารอาหารหล่อเลี้ยงผิว Angiogenesis พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทำให้ผิวสุขภาพดี
หัตถการ Radiesse เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 30-35 ปีขึ้นไป ที่กำลังมีปัญหาการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน
- ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าเริ่มมีความหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่มีปัญหาผิว สุขภาพผิวไม่ดี หรือขาดการบำรุงผิวเป็นเวลานาน
- ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น หมองคล้ำ
- ผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือรอยย่นบริเวณรอบปาก
- ผู้ที่มีรอยเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือ ลำคอ และเนินอกสำหรับคุณผู้หญิง
- ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวให้แข็งแรงในระยะยาว
Radiesse มีทั้งหมดกี่รุ่น แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร
ในปัจจุบันมีด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Radiesse และ Radiesse + ซึ่งสองตัวนี้จะให้คุณสมบัติและความโดดเด่นของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองรุ่นนี้ สามารถนำมาใช้ควบคู่กันได้เพิ่มประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า แต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติอย่างไร แล้วใช้ต่างกันยังไง
Radiesse รุ่นนี้จะเป็นสารเติมเต็มที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการนำมาฟื้นฟูริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับที่รุนแรง เช่น รอยพับบนใบหน้า ร่องแก้ม ช่วยเสริมใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้น ฟื้นฟูผิวจากความแห้งกร้านให้ดูเต่งตึงขึ้น และช่วยลดปัญหาการสูญเสียไขมันบริเวณใบหน้า มักนิยมนำมาฉีดรอยพับ ร่องลึกหรือบริเวณหลังมือและเนินอก
Radiesse (+) รุ่นนี้จะแตกต่างจากรุ่นแรกตรงที่มีส่วนประกอบของ Lidocaine หรือยาชารวมอยู่ด้วยในปริมาณ 0.3% ซึ่งเป็นปริมาณที่กำลังดี มีความปลอดภัย ช่วยบรรเทาอาการเจ็บขณะฉีดได้ นอกจากนี้แล้ว ความโดดเด่นของรุ่น Plus ก็คือในเรื่องของการเก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ ที่ต้องการความละเอียดมากกว่า ทำให้รอยพับหรือรอยเหี่ยวย่นตามจุดต่าง ๆ ตื้นขึ้น เสริมให้ผิวดูอ่อนวัยเป็นธรรมชาติ
Radiesse vs Sculptra ต่างกันยังไง ฉีดตัวไหนดีกว่ากัน
ผลิตภัณฑ์ Radiesse vs Sculptra ทั้งสองตัวนี้ เรียกได้ว่ามันช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งก็จะทำให้หลายท่านสงสัยว่า ข้อแตกต่างของสองผลิตภัณฑ์นี้ มันไม่เหมือนกันยังไง แล้วฉีดตัวไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน ในบทความนี้ เราก็เลยจะขอมาสรุปเป็นตารางเพื่อให้เข้าใจกันง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ
ซึ่งแน่นอนว่า สภาพผิวของแต่ละคน ก็จะมีปัญหาความหนักเบาที่แตกต่างกันออกไป บางรายผิวต้องการเพิ่มวอลลุ่ม บางรายก็ต้องการเติมเต็มคอลลาเจนให้ผิวดูเต่งตึง สุขภาพดี ซึ่งทางที่ดีที่สุด แนะนำให้เข้าไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้ทำการประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับเราค่ะ
Radiesse Before & After
จากภาพเปรียบเทียบก่อนทำและหลังทำของคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการฉีด Radiesse สังเกตเห็นได้ว่า ก่อนทำใบหน้าดูมีความหย่อนคล้อย ผิวไม่ตึงกระชับและมีริ้วรอยเล็ก ๆ ตามจุดต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าดูมีอายุขึ้น ซึ่งหลังจากที่ทำไปแล้ว ผิวหน้าดูยกกระชับขึ้น มีความเต่งตึง ริ้วรอยดูลดเลือนลง (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
รีวิว Radiese จากผู้ที่เข้ามาใช้บริการ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของผู้ที่เข้ามาใช้บริการฉีด Radiesse กับทางคลินิก ซึ่งหลายคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจริง ๆ แม้ทำเพียงครั้งแรก รอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ความเต่งกระชับของผิวนั้นมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งบริเวณที่ดูซูบตอบก็ดูอิ่มฟูขึ้น มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
Radiesse ราคาเท่าไหร่
Radiesse ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 29,000 บาท* ทั้งนี้ค่าบริการแต่ละเคสอาจมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและช่วงอายุของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ อาจมีในเรื่องของโปรโมชั่นที่ทางคลินิกจัดขึ้นในช่วงเทศกาลต่าง ๆ หากสนใจทำหัตถการนี้ สามารถทักเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมหรือให้แพทย์ช่วยประเมินการรักษาเบื้องต้นก่อนได้ค่ะ
ฉีด Radiesse บริเวณไหนได้บ้าง
การฉีด Radiesse เป็นนวัตกรรมการเติมเต็มผิวพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวดูแข็งแรง สดใส สุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยทดแทนคอลลาเจนที่หายไปตามอายุ ให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งตำแหน่งที่เหมาะแก่การฉีด ได้แก่
- ร่องแก้ม – ช่วยเติมเต็มให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น เสริมใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ลง
- ร่องน้ำหมาก – เติมเต็มบริเวณที่มีร่องน้ำหมากให้ตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียน
- หน้าแก้ม – เติมเต็มบริเวณหน้าแก้มที่ซูบตอบให้มีวอลลุ่มมากยิ่งขึ้น แก้ไขปัญหาหน้าแก่หน้าโทรม
- ขมับ – เติมเต็มบริเวณขมับให้ดูอิ่มฟู สุขภาพดี
- กรอบหน้า – ปรับให้กรอบหน้าดูคมชัดมาก ยกกระชับหน้า
- ลำคอ – ลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอให้เรียบเนียน เต่งตึง
- หลังมือ – แก้ไขรอยเหี่ยวย่นหลังมือให้กลับมาตึงกระชับ
- เนินอก – แก้ไขปัญหารอยย่นบริเวณหน้าอก
ซึ่งบริเวณที่แพทย์ไม่แนะนำให้ฉีด เพราะอาจเกิดปัญหาตามมาได้ก็คือบริเวณร่องระหว่างคิ้ว จมูก รอบดวงตา และบริเวณริมฝีปาก ที่แพทย์จะต้องมาประเมินอย่างละเอียดว่าควรใช้วิธีการใดในการรักษา ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยมากที่สุด
การเตรียมตัวก่อนเข้าใช้บริการ
- งดอาหารเสริมและยากลุ่มที่ทำให้เลือดแข็งตัว เช่น วิตามินอี กระเทียม แปะก๊วย
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้การรักษาเอื้อต่อการสร้างคอลลาเจนใหม่
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ทุกชนิดก่อนเข้ารับบริการ 1-3 วัน
- ก่อนเข้ารับบริการ 2-4 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้าหรือบริเวณที่จะฉีด
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการ
- ภายใน 12 ชั่วโมงแรก ยังไม่แนะนำให้ใช้เครื่องสำอางเพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมจากเครื่องสำอางเข้าไปเกาะบริเวณรอยเข็มได้
- 24 ชั่วโมงหลังฉีด หลีกเลี่ยงการสัมผัส ลูบคลำบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้รอยเข็มหายช้า หรือเกิดการติดเชื้อได้จากสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ตามนิ้วมือ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก ที่ทำให้เหงื่อออกในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการนอนคว่ำเป็นเวลา 1 สัปดาห์
- สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการบวมช้ำได้ตามความเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการเผชิญความร้อน เช่น การอยู่ในแสงแดดเป็นเวลานาน การอบซาวน่า
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อกระตุ้นการทำงานของร่างกาย
- ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
ข้อควรระวังในการใช้บริการ
- สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว มีประวัติแพ้ยาชา หรือมียาที่ทานเป็นประจำก่อนใช้บริการ ควรแจ้งให้แพทย์ได้รับทราบอย่างละเอียด
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบ หรือมีอาการติดเชื้อตรงบริเวณที่ฉีด แนะนำให้รักอาการเหล่านี้ให้หายดีก่อนเข้ารับบริการ
- หัตถการนี้ยังไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร
- หัตถการนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ
- หัตถการนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ หรือมีประวัติอาการแพ้ชนิดรุนแรง
การฉีด Radiesse อันตรายไหม
สำหรับการฉีด Radiesse ไม่เป็นอันตรายค่ะ เพราะผลิตภัณฑ์นี้ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ยุโรป (EU) และประเทศไทย (TH FDA) นอกจากนี้ ยังเป็นผลิตภัณฑ์ Dermal Filler ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติจาก UD FDA ว่าสามารถใช้ได้ทั้งใบหน้าและหลังมือโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย มีข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 250 ฉบับ ว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยในการรักษาอย่างแท้จริง
5 จุดสังเกต! Radiesse ของแท้เช็คยังไง
จุดที่ 1 : คลินิกที่นำเข้าของแท้ จะต้องมีรายชื่อบนเว็บไซต์ www.merzaesthetics.co.th
จุดที่ 2 : หน้าคลินิกจะต้องมีสติกเกอร์ Certified Injector
จุดที่ 3 : มีใบ Certificated Injector ของแพทย์ในคลินิกที่ผ่านการอบรม
จุดที่ 4 : ตัวกล่องจะต้องมีสติกเกอร์ Merz Check ที่สามารถสแกนได้
จุดที่ 5 : หลังเข้ารับบริการทุกเคสจะได้รับ Skin Rejuvenation Club Card จากคลินิก เพื่อยืนยันการใช้ของแท้ที่ได้มาตรฐานจากบริษัท Merz Aesthetics
เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรใช้บริการที่ไหนดี
ในปัจจุบันนี้ คลินิกเสริมความงามเปิดให้บริการอยู่มากมาย ดังนั้น การเลือกคลินิกจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และเพื่อให้มั่นใจว่าหลังฉีดไปแล้วผลลัพธ์ที่ได้จะมีคุณภาพและมีความปลอดภัย เราควรเลือกใช้บริการกับคลินิกเหล่านี้ค่ะ
- คลินิกที่มีการเปิดให้บริการอย่างถูกกฎหมาย ผ่านการรับรองตามมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข
- คลินิกที่มีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีใบประกอบวิชาชีพและผ่านการฝึกอบรมการฉีด Radiesse
- คลินิกที่มีการประเมิน วิเคราะห์ปัญหารายบุคคลอย่างละเอียด และสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน พร้อมทั้งติดตามผลหลังทำอย่างใกล้ชิด
- คลินิกที่ให้บริการด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ นำเข้าจากบริษัท Merz Aesthetics โดยตรง
- คลินิกที่มีช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน มีการเดินทางสะดวกสบาย
- คลินิกที่มีรีวิวชัดเจนทุกแพลตฟอร์มทั้งในรูปแบบภาพ คลิป หรือตามคอมเมนท์ต่าง ๆ
เรื่องงานผิวไว้ใจคลินิกเรา
ที่นี่ไม่ได้โดดเด่นแค่เฉพาะฟิลเลอร์เพียงเท่านั้น แต่เรื่องงานผิว เราก็ยังเป็นคลินิกแรก ๆ ในประเทศไทย ที่ได้นำเข้าผลิตภัณฑ์เพื่องานผิวหลายรูปแบบมาเพื่อรองรับทุกการรักษาและปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละคน ซึ่งในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ หรือแม้แต่ Radiesse ก็ยังมีการนำเข้ามาอย่างถูกต้อง ส่งตรงจากบริษัท MERZ AESTHETICS (MERZ Healthcare Thailand) เป็นบริษัทนำเข้าเรเดียสซ์แต่เพียงผู้เดียวในไทย นอกจากนี้ในทุก ๆ ขั้นตอนการรักษา เรายังให้การดูแลภายใต้คุณหมอเมฆ และทีมแพทย์ผู้มีทักษะด้านการดูแลความงามใบหน้า และสุขภาพผิว พร้อมเลือกใช้เทคนิคการรักษาและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหารายบุคคลได้อย่างแม่นยำและตรงจุด จนได้รับรางวัลคุณภาพด้านความงามหลายรางวัล
Q&A รวมคำถามที่พบบ่อย
ระหว่างทำเจ็บไหม
ระดับความเจ็บของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่จากการรักษาโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่เข้ารับบริการต่างรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือเจ็บในระดับที่ทนได้ เนื่องจากก่อนฉีดแพทย์จะทำการใช้ยาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บให้ลดน้อยลง โดยระหว่างที่ตัวยาเข้าสู่ใต้ชั้นผิวคนไข้อาจได้รับความรู้สึกหน่วงเล็ก ๆ ในตำแหน่งที่ฉีดค่ะ
หลังฉีดกี่วันถึงจะเห็นผล
ผลลัพธ์จะแยกออกเป็นสองส่วนก็คือ ในส่วนแรกด้านการเติมเต็ม หรือยกกระชับผิวหน้าส่วนล่าง จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีดเสร็จประมาณ 20-30% แต่ในส่วนของผลลัพธ์ด้านการปรับปรุงคุณภาพผิว มันจะไม่สามารถเห็นผลได้ทันที แต่มันจะค่อย ๆ ทำปฏิกิริยานั่นก็คือ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายใน ทำให้ผลลัพธ์มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลังฉีดแล้วผลลัพธ์อยู่ได้นานกี่เดือน
หลังฉีดไปแล้วผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 24 เดือน หรืออยู่ได้ราว ๆ 2 ปี* เลยค่ะ คุณภาพผิวจะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ โดยจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนในช่วง 3-4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาที่แน่นอนในแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว การดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตประจำวัน
หลังฉีดไปแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรไหม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังเข้ารับบริการคือ บางรายอาจมีอาการแดง มีรอยบวมช้ำเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ประมาณ 3-5 วันแรก เป็นอาการปกติที่มักเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ เคส คนไข้ไม่ต้องกังวลไปเลยค่ะ เพราะหลังจาก 5 วันไปแล้ว อาการเหล่านี้มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
ควรฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
มีหลายคนที่ถามกันเข้ามาว่า หัตถการนี้ควรฉีดกี่เข็มดีถึงจะได้ผลลัพธ์ของสุขภาพผิวที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วการฉีด Radiesse จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดเลยค่ะ โดยเฉพาะผลลัพธ์ในเรื่องของการเติมเต็มปริมาตรให้กับผิว ก็จะสามารถเห็นได้เลยทันทีหลังฉีด (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล) ซึ่งข้อดีของผลิตภัณฑ์นี้คือ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานไม่ต้องกลับมาฉีดบ่อย ๆ
สามารถใช้บริการร่วมกับโปรแกรมยกกระชับอื่น ๆ ได้หรือไม่
เครืองยกกระชับ อาทิเช่น Thermage FLX , Ulthera สามารถทำได้ค่ะ หากคนไข้ไม่สะดวกกลับมาใช้บริการหลายรอบ ซึ่งแพทย์จะทำการยกกระชับหน้าก่อนแล้วค่อยฉีดกระตุ้นคอลลาเจน แต่ทางที่ดีที่สุด หากคนไข้มีเวลาหรือสามารถรอได้ แพทย์จะแนะนำให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น หากคนไข้ต้องการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนก่อน หลังจากนั้น 4-6 สัปดาห์ ค่อยกลับมาทำเครื่องยกกระชับ หรือท่านใดที่ทำเครื่องยกกระชับมาก่อนแล้ว ก็ควรเว้นระยะห่างสัก 4 สัปดาห์ จากนั้นค่อยกลับมาฉีดกระตุ้นคอลลาเจน
เคยฉีด Biostimulator ตัวอื่น ๆ มาก่อนสามารถฉีดได้ไหม เกิดผลกระทบหรือเปล่า
หลายคนกลัวว่าฉีดไปแล้วมันจะเข้าไปตีกันไหม หรือก่อนหน้านี้ เคยฉีดอีกตัวนึงมา อยากลองฉีดผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดูบ้าง สามารถทำได้หรือเปล่า?
สามารถฉีดได้ค่ะ ไม่เป็นอันตรายต่อผิวและไม่เกิดผลกระทบอื่น ๆ ตามมา แต่จะต้องเว้นระยะห่างประมาณ 3-6 สัปดาห์ จึงจะสามารถฉีดได้ หรือใครที่มีความกังวลใจ สามารถปรึกษาแพทย์ให้ช่วยประเมินการรักษาเบื้องต้นได้เลยค่ะ
สรุป
การฉีด Radiesse เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมการเติมเต็มและกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อฟื้นฟูปรับปรุงคุณภาพผิวที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจากวงการแพทย์ทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติของมันที่สามารถเติมเต็มผิวได้คล้ายกับโปรแกรม HA Filler อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว แก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึกและปรับปรุงโครงสร้างผิวให้ดีขึ้นได้ในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นนวัตกรรมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งจากอเมริกา ยุโรปและไทย แต่เพื่อการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น แนะนำให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทาง หากใครสนใจสามารถเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือให้แพทย์ช่วยประเมินการรักษาที่เหมาะสมได้ ทางเรายินดีให้คำปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ