Juvederm เป็นสารเติมเต็มยอดฮิตที่ครองใจใครหลายคน หนึ่งในแบรนด์ดังระดับตัวท็อปที่นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา มาพร้อมกระบวนการผลิตด้วย 2 เทคโนโลยีที่ทันสมัย จนได้สารเติมเต็มเกรดพรีเมี่ยมที่มีคุณภาพสูง สามารถนำมาปรับรูปหน้า ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า หรือเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมความโดดเด่นที่ฉีดเข้าไปแล้วกลืนเรียบเนียนไปกับผิว ไม่ไหลเป็นก้อน เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานมาอย่างถูกต้องจากองค์การอาหารและยาของไทย (อย.) ซึ่งในบทความนี้ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นว่าแต่ละรุ่นมีอะไรบ้าง เหมาะสำหรับฉีดจุดไหน ราคาเท่าไหร่ ใครที่กำลังเลือกยี่ห้อนี้อยู่ ต้องห้ามพลาดเลยค่ะ
Juvederm คืออะไร
Juvederm Filler คือ หนึ่งในยี่ห้อของสารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มของ Hyaluronic Acid หรือ HA Filler ที่วงการแพทย์ความงามทั่วโลกนับว่าเป็นสารเติมเต็มที่ให้ความปลอดภัยสูง สามารถนำมาเติมเต็มใช้ในการปรับรูปหน้า แก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า หรือนำมาปรับให้ใบหน้าดูมีวอลลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยตัวสารชนิดนี้ จะสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ และไม่เหลือสารตกค้างไว้ในร่างกาย ซึ่งสารเติมเต็มยี่ห้อนี้เอง ก็ยังมีการผลิตด้วยเทคโนโลยีเฉพาะ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันออกไปได้อย่างลงตัวและเหมาะสม ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทย(TH FDA) และสหรัฐอเมริกา (US FDA)
เทคโนโลยีการผลิตของ Juvederm
ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นยี่ห้อที่มีกระบวนการผลิตถึง 2 เทคโนโลยีด้วยกัน โดยในแต่ละเทคโนโลยีนั้น ก็จะมีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
Hylacross Technology
จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ก็คือ สารเติมเต็มสามารถอุ้มน้ำได้ดี ฉีดแล้วทำให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น สามารถนำไปเติมวอลลุ่มให้กับผิว หรือนำมาเติมเต็มในจุดที่มีร่องลึก หรือบริเวณที่ซูบตอบจากไขมันและกระดูกที่ยุบตัวลง นอกจากนี้ เนื้อสารเติมเต็มยังให้ความยืดหยุ่นสูง และทนต่อแรงเคลื่อนไหวบนใบหน้า มันจึงสามารถนำมาฉีดในจุดที่มีการขยับบ่อยอย่างเช่น ร่องแก้ม เป็นต้น ซึ่งรุ่นที่มีการผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้ก็คือ Ultra XC และ Ultra Plus XC
Vycross Technology
สำหรับ Vycross เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากเทคโนโลยีแรก ทำให้โมเลกุลของสารเติมเต็มบวมน้ำน้อยลง และมีจุดเด่นในเรื่องของการยกกระชับผิวหน้า มีโมเลกุลที่หนาแน่น ฉีดแล้วให้ผลลัพธ์ผิวดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ซึ่งแพทย์จะสามารถกำหนดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำมากกว่า Hylacross และรุ่นที่ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ Volite, Voluma, Volift, Volbella และ Volux
Juvederm ยี่ห้อนี้เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการเติมเต็มผิวให้มีวอลลุ่ม หรือดูอิ่มฟูมากยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าซูบตอบจากไขมันที่ลดลง หรือกระดูกที่ยุบตัวลง
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้มีมิติมากยิ่งขึ้น
- ผู้ที่ต้องการเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม หรือปรับทรงปากตามเทรนความงามปัจจุบัน
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปคางให้ยาวขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาบริเวณรอบดวงตา ต้องการคืนความสดใสให้กับดวงตา
- ผู้ที่ต้องการปรับใบหน้าเพื่อเสริมโหงวเฮ้งตามความเชื่อ
Juvederm มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นฉีดจุดไหนบ้าง
อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่า ยี่ห้อนี้แต่ละรุ่นถูกผลิตแยกออกเป็น 2 เทคโนโลยีด้วยกัน ดังนั้น ทำให้โมเลกุล รวมไปถึงคุณสมบัติของแต่ละรุ่นนั้น ถูกออกแบบมาเพื่อการแก้ไขที่แตกต่างกันออกไป และมีการคงสภาพผลลัพธ์ในระยะเวลาที่ไม่เท่ากันด้วย ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติอย่างไร เหมาะสำหรับฉีดจุดไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
Ultra XC
เป็นรุ่นที่อยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยี Hylacross ซึ่งเป็นรุ่นที่มีเนื้อค่อนข้างนิ่ม ฉีดแล้วสามารถกลืนกับผิวได้อย่างเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ มาพร้อมคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี และถูกนำมาใช้ในการเติมร่องลึก หรือในตำแหน่งที่มีการยุบตอบ
เหมาะสำหรับ : ฉีดแก้มตอบ ขมับ หรือนำมาฉีดจมูกและคาง
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
Ultra Plus XC
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นในยี่ห้อ Juvederm ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี Hylacross ทำให้เนื้อเจลมีความคงตัวสูงและมีค่าการอุ้มน้ำสูง สารเติมเต็มจึงมีความฟูและทนต่อแรงขยับได้ดี มันจึงเหมาะสำหรับนำมาเติมเต็มในส่วนที่หายไปในระดับลึกมาก หรือฉีดในจุดที่ต้องการเน้นความอิ่มฟูหรือเติมวอลลุ่ม
เหมาะสำหรับ : ฉีดแก้มตอบ ขมับ ร่องแก้มลึก หรือปรับรูปคาง
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
Volite
ในส่วนของยี่ห้อ Juvederm volite ได้ผ่านกระบวนการผลิต Vycross ออกแบบมาให้เป็นรุ่นที่มีเนื้อโมเลกุลค่อนข้างเล็กละเอียด และมีสารเติมเต็มที่ลักษณะบางเบา ฉีดแล้วเข้ากับผิวได้ดี มีความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและเน้นปรับคุณภาพผิว
เหมาะสำหรับ : ฉีดตำแหน่งที่มีริ้วรอยเล็กๆ เช่น ใต้ตา ลำคอ หรือเพิ่มความชุ่มชื้นลดรูขุมขน
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
Voluma
Juvederm voluma เป็นรุ่นที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross เช่นเดียวกัน ทำให้ได้สารเติมเต็มที่มีเนื้อแข็งและมีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีความฟูในระดับปานกลาง และสามารถยืดหยุ่นได้ดี มันจึงเหมาะสำหรับนำมาฉีดเพื่อปั้นรูปทรง หรือนำมาเติมเต็มในบริเวณที่มีร่องลึก เพราะเป็นรุ่นที่ฉีดแล้วไม่ไหลง่ายและมีความหนาแน่นสูง
เหมาะสำหรับ : ฉีดคาง ขมับ ร่องแก้ม แก้มตอบ ลิฟหน้าแก้ม หรือเติมเต็มใต้ตาที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูก
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
Volift
สำหรับรุ่นนี้ ก็ผลิตด้วย Vycross โดยมาพร้อมกับจุดเด่นที่มีเนื้อเจลนิ่มระดับปานกลาง และยังมีความละเอียดสูงกว่ารุ่นอื่น เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง เพราะเมื่อฉีดไปแล้ว จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เรียบเนียนไปกับผิว สามารถนำมาเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึกในระดับตื้น ๆ ได้
เหมาะสำหรับ : ฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตา
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
Volbella
เป็นรุ่นที่มีขนาดโมเลกุลและมีความละเอียดสูง เนื้อเจลที่นิ่มและฟู ถูกผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี Vycross โดยรุ่นนี้ จะเน้นฉีดในบริเวณที่ไม่ต้องการเติมวอลลุ่มมากนัก ทำให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน และยังมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วย
เหมาะสำหรับ : ฉีดหน้าผาก ใต้ตาชั้นลึก ริมฝีปาก หรือจุดที่ต้องการปรับผิวให้ดูเรียบเนียน
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12-15 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
Volux
รุ่นสุดท้ายที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี Vycross เป็นรุ่นที่มีเนื้อเจลที่ให้ความหนาแน่นสูง และมีความแข็ง มันจึงถูกออกแบบมาเพื่อปรับรูปหน้า หรือปั้นทรงให้สวยงาม และช่วยยกกระชับผิวได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง
เหมาะสำหรับ : ฉีดเพิ่มความยาวของคาง ปรับกรอบหน้า หรือสร้างแนวขากรรไกรให้คมชัด
ผลลัพธ์ : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน (*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
เปรียบเทียบ Juvederm กับยี่ห้ออื่น
Juvederm vs Restylane สองยี่ห้อนี้ หลายคนยกให้เป็นสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่มันมีให้เลือกหลายรุ่น หลายโมเลกุลเหมือนกัน แต่แน่นอนว่าทั้งกระบวนการผลิต คุณสมบัติ และการคงสภาพของผลลัพธ์ทั้ง 2 ยี่ห้อนี้มีความแตกต่างกัน ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาเปรียบเทียบให้ดูค่ะ
Juvederm แท้ เช็กจากอะไร
- เป็นกล่องใหม่ที่ปิดสนิท ไม่ผ่านการเปิดใช้งานมาก่อน
- มีเลขทะเบียนอย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่องทุกกล่อง
- มีเลขlot. ที่ตรงกันทั้งหมด 4 จุด คือ ตัวกล่อง, ซอง, สติ๊กเกอร์ และตรงหลอดยา
- ข้างกล่องมีวันที่ผลิตและวันที่หมดอายุอย่างชัดเจน
นอกจากการสังเกตเบื้องต้นแล้ว เรายังสามารถนำกล่องที่ฉีดกลับบ้านไปตรวจสอบเลข Lot. หรือโทรเช็กชื่อคลินิกที่ใช้บริการจากบริษัทผู้นำเข้าตัวยา (Allergan Thailand) ได้ที่เบอร์ 02-640-4999
การเตรียมตัวก่อนฉีด
- ก่อนฉีดสารเติมเต็มยี่ห้อใดก็ตาม ควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับยี่ห้อที่ต้องการฉีด รวมไปถึงคลินิกที่ให้บริการว่า ผลลัพธ์ที่ได้นั้น เปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน และมีความปลอดภัยไหม
- ก่อนเข้ามาใช้บริการ 1 สัปดาห์ ควรงดการรับประทานอาหารเสริมทุกชนิด โดยเฉพาะอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- งดการทำเลเซอร์ที่ให้ความร้อนทุกชนิด ก่อนเข้ารับบริการ 1 สัปดาห์
- ในช่วง 5-7 วันก่อนเข้ารับบริการ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่มีผลต่อการผลัดเซลล์ผิว เช่น การสครับผิว ขัดผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
- ก่อนเข้ารับบริการ 1 วัน ให้งดแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
การดูแลตัวเองหลังฉีด
- หลังฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ในช่วงแรก หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า เช่น การแกะ เกา นวดคลึง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนทุกรูปแบบ เช่น การอยู่ในพื้นที่แจ้ง การอยู่หน้าเตาร้อน เป็นต้น
- แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามิน เช่น ปลา หรือผักใบเขียว รวมไปถึงผลไม้
- หลังฉีด 5-7 วัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจำพวกอาหารทะเล อาหารรสจัด ของหมักดอง
- แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
Juvederm ดีไหม ปลอดภัยหรือเปล่า
ความปลอดภัยของสารเติมเต็มยี่ห้อนี้ แน่นอนว่ามีมาตรฐานอย่างสูงสุดแน่นอนค่ะ เพราะเป็นแบรนด์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังได้รับความนิยมถูกนำมาใช้ในการเติมเต็มในวงการแพทย์ความงามทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเป็นสารเติมเต็มที่ถูกออกแบบมาเพื่อการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันได้อย่างครอบคลุมทุกจุดบนใบหน้า ทนต่อแรงการขยับเขยื้อนได้ดี และยังนำมาเติมเต็ม ยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกระบวนการผลิตแบบพิเศษเฉพาะ ทำให้ลดอาการบวมช้ำหลังฉีดได้ด้วย
ฉีด Juvederm ไว้ใจด็อกเตอร์เมฆคลินิก
ที่คลินิกของเรารู้ดีเรื่องการฉีดสารเติมเต็ม HA โดยผ่านการดูแล ปรับรูปหน้ามาแล้วหลายเคส ด้วยปัญหาและสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และสามารถแก้ไขทุกปัญหาเหล่านี้ได้อย่างตรงจุด เพราะที่นี่ เราให้บริการรักษาด้วยเทคนิคพิเศษเฉพาะไม่เหมือนที่อื่นกับเทคนิค Triple Layers Lift เป็นเทคนิคที่ฉีดทั้งหมด 3 ชั้นตั้งแต่ชั้นกระดูก ชั้นไขมัน และชั้นผิวหนัง โดยวางรากฐานตั้งแต่ชั้นกระดูก ทำให้ได้ผลลัพธ์การเติมเต็มที่ดูเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ ทีมแพทย์ยังมีการดีไซน์การรักษาให้แตกต่างกันตามการประเมินสภาพผิวของแต่ละบุคคล เท่านั้นยังไม่พอ เรายังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มที่ได้มาตรฐาน นำเข้ามาจากบริษัทยาโดยตรง สามารถตรวจสอบเลข lot. ได้ทุกกล่อง พร้อมยืนยันประสิทธิภาพจากเสียงของผู้มาใช้บริการจริงจากหลายสาขาอาชีพ จนไปถึง Celebrity ชื่อดัง หรือดารานักแสดงชั้นนำของเมืองไทย และรางวัลยอดฉีดอันดับ 1 ทั้งระดับประเทศและระดับเอเชีย
ฉีด Juvederm ราคาเท่าไหร่
Juvederm ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 9,999 บาท* แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกการรักษาอาจมีค่าบริการที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่เกิดขึ้น เช่น บางรายมีปัญหาร่องลึก จึงจำเป็นที่จะต้องใช้สารเติมเต็มหลาย cc ก็อาจมีค่าบริการที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจสามารถเข้ามาให้แพทย์ช่วยประเมินการรักษาเบื้องต้นก่อนได้เลยค่ะ
คำถามที่พบบ่อย
ฉีดไปแล้วกี่วันถึงจะเห็นผล
หลังจากที่ฉีดเข้าไปแล้ว เราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที*ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยมันจะเห็นผลประมาณ 70-80% และหลังจากนั้นผ่านไป 1-2 สัปดาห์ เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน โดยในจุดที่ใช้สารเติมเต็มจะดูอิ่มฟู มีวอลลุ่มมากยิ่งขึ้น หรือใครที่ฉีดปากก็จะมีความอวบอิ่มได้ทรงปากที่ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ
ยี่ห้อนี้ฉีดแล้วจะเจ็บไหม
สารเติมเต็มยี่ห้อนี้ ในทุก ๆ รุ่น ก็จะมีส่วนผสมของยาชารวมอยู่ด้วยในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งจะทำให้ช่วยลดอาการเจ็บขณะฉีดได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ก็สามารถฉีดได้ค่ะ นอกจากนี้ ก่อนทำการรักษาก็จะมีการแปะยาชาทิ้งไว้เป็นเวลา 30-45 นาที ดังนั้น สามารถทำได้สบาย ๆ เลยค่ะ
หลังฉีดบวมกี่วัน
หลังฉีด บางรายอาจมีอาการบวมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากเข็มที่ฉีดเข้าไป โดยมันจะบวมมากในช่วง 2-3 วันแรก และหลังจากนั้น มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ประมาณ 7-14 วัน อาการบวมที่เกิดขึ้นก็จะลดลงและกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อาการนี้เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและเซลล์ผิวด้านใน สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการประคบเย็น หรือรับประทานยาลดบวม ยาแก้ปวดได้เลยค่ะ
หลังฉีดมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง กี่วันหาย
นอกจากอาการบวมที่เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังฉีดสารเติมเต็มแล้ว ก็ยังมีในเรื่องของรอยแดงที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่รอยแดงที่ว่านี้ มันจะดีขึ้นเองภายใน 2-3 วันเท่านั้น และหลังจากนั้น มันจะค่อย ๆ หายไปได้เองตามธรรมชาติ ทั้งรอยแดงและอาการบวมที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
หลังฉีดกี่วันถึงจะกลับมาแต่งหน้าได้
ในความเป็นจริงแล้ว หลังฉีดสารเติมเต็มก็สามารถกลับมาแต่งหน้าหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยค่ะ ใครที่รีบไปออกงานสังคม หรือมีความจำเป็นต้องแต่งหน้า ก็สามารถแต่งได้ โดยเว้นระยะห่างเพียงเล็กน้อยในบริเวณที่มีรอยเข็ม และควรสัมผัสใบหน้าอย่างเบามือ เพื่อลดแรงกระแทกหลังฉีดสารเติมเต็ม แต่! ใครที่ไม่ได้รีบใช้หน้า แพทย์ก็จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าไปก่อนเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมจากเครื่องสำอางเข้ามารบกวนบริเวณรอยเข็มค่ะ
สรุป
จะเห็นได้ว่ายี่ห้อ Juvederm เป็นสารเติมเต็มที่มีคุณภาพสูงมากเลยทีเดียว เพราะมีกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังสามารถนำมาเติมเต็ม ปรับรูปหน้า เพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว หรือจะนำมาเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวก็ได้เช่นเดียวกัน พร้อมให้ผลลัพธ์ที่มีความเป็นธรรมชาติ เรียบเนียน และอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญเลยก็คือ มันสามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า 1-2 ปีเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสารเติมเต็มที่ได้มาตรฐานมากแค่ไหนก็ตาม แต่อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คลินิกต้องได้มาตรฐานและมีแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเข้ามาดูแลเท่านั้น จึงจะได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพอย่างถึงที่สุดค่ะ